อากาศที่ร้อนจัดในฤดูร้อนปีนี้ของอินเดีย ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 100 คนใน ซึ่งนักวิเคราะห์ชี้ว่า สถานการณ์จะเลวร้ายลงอีกในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า ทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดวิกฤติมนุษยธรรมขึ้น จากการที่พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นสถานที่ที่ร้อนเกินกว่าจะอยู่อาศัยได้
ตามปกติแล้ว คลื่นความร้อนในอินเดียมักจะเกิดขึ้นระหว่างเดือนมีนาคม – กรกฎาคมของทุกปี และจะหายไปเมื่อฝนเริ่มตกในฤดูมรสุม แต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่าน อากาศในอินเดียเริ่มร้อนขึ้น เกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้น และนานขึ้นกว่าเดิม ซึ่งข้อมูลจากคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ไอพีซีซี) บ่งชี้ว่า อินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่คาดว่า จะได้ผลกระทบรุนแรงสุดจากวิกฤติการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ
ขณะเหล่าผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (เอ็มไอที) กล่าวว่า ต่อให้โลกประสบความสำเร็จในการลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และจำกัดการปรับตัวขึ้นของอุณหภูมิโลกได้ พื้นที่บางส่วนของอินเดียก็จะยังมีอากาศร้อนจัด ในแบบที่เรียกว่า เป็นการทดสอบขีดจำกัดในการอยู่รอดของมนุษย์กันเลยทีเดียว
“คลื่นความร้อนในอนาคตมีแนวโน้มที่จะรุนแรงขึ้น แม้จขะสามารถจำกัดการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลกเอาไว้ได้อย่างมาก และจะยิ่งแย่หนักลงไปอีก ถ้าไม่มีการจำกัดภาวะโลกร้อน” เอลเฟธ เอลทาอีร์ ศาสตราจารย์ด้านอุทกวิทยา และสภาพภูมิอากาศโลก จากเอ็มไอที กล่าว
ตามปกติแล้ว รัฐบาลอินเดียจะประกาศการเกิดคลื่นความร้อน เมื่อพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง มีอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นสูงกว่าอุณหภูมิใน “ระดับปกติ” อย่างน้อย 4.5 องศาเซลเซียส อย่างน้อย 2 วัน โดยคลื่นความร้อนจะถูกจัดให้อยู่ในขั้นรุนแรง เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้นจากระดับปกติมาอีก 6.4 องศาเซลเซียส อย่างน้อย 2 วันติดต่อกัน
แต่ละพื้นที่ในอินเดียมีระดับการเผชิญกับคลื่นความร้อนแตกต่างกันออกไป อย่างในกรุงนิวเดลี เมืองหลวงของประเทศ มึการประกาศคลื่นความร้อน หลังจากอุณภูมิขึ้นสูงถึงอย่างน้อย 45 องศาเซลเซียสติดต่อกัน 2 วัน
เมื่อปีที่แล้ว มีการประกาศพื้นที่ที่เจอคลื่นความร้อนอย่างเป็นทางการทั้งหมด 484 แห่งทั่วอินเดีย เพิ่มขึ้นจากจำนวน 21 แห่งในปี 2553 ทั้งในระหว่างช่วงเวลาดังกล่าว มีผู้เสียชีวิตเพราะอากาศที่ร้อนจัดนี้มากถึง 5,000 คน
