Finance

ปาดน้ำตา!! หุ้นไทยไร้เสน่ห์ต่างชาติเมินยาว

ภาพรวมตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ดัชนีปรับตัวลดลง 1.74%  โดยปรับตัวขึ้นไปทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 1,838.96 จุดในเดือนมกราคม 2561 จากนั้นก็ปรับลดลงต่อเนื่อง และกำลังปรับลดลงแตะระดับต่ำสุดอย่างต่อเนื่อง

สำหรับบทบาทของกลุ่มนักลงทุนที่มีอิทธิพลต่อการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยตอนนี้อยู่ที่กลุ่มสถาบัน หรือกองทุนในประเทศและรายบุคคลเป็นสำคัญ ขณะที่กลุ่มที่เคยมีอิทธิพลต่อทิศทางตลาดหุ้นไทย คือนักลงทุนต่างชาติ ปีนี้ถือว่าเริ่มลดบทบาทลงอย่างเห็นได้ชัด

จากการรวบรวมข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ในส่วนของการซื้อขายแยกรายกลุ่มนักลงทุนตั้งแต่ต้นปีจนถึงต้นเดือนมิถุนายน 2561 พบว่า กลุ่มสถาบันในประเทศมียอดซื้อสุทธิอยู่ที่ 6.58 หมื่นล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ซื้อสุทธิ 5.84 หมื่นล้านบาท นักลงทุนรายบุคคลมียอดซื้อสุทธิ 7.34 หมื่นล้านบาท ขณะที่ต่างชาติมียอดขายสุทธิ 1.39 แสนล้านบาท

เมื่อมีการสำรวจความคิดเห็นของโบรกเกอร์รายใหญ่ในประเด็นแนวโน้มการลงทุนของต่างชาติจากนี้้ไป พบว่า มีมุมมองที่เชื่อว่า ต่างชาติจะยังคงมีเทขายต่อเนื่องไปจนถึงปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า เนื่องจากตลาดหุ้นไทยยังไม่มีปัจจัยเชิงบวกที่จะเป็นแม่เหล็กดึงเม็ดเงินกลับมาได้ง่าย  ซึ่งปัจจัยที่ต่างชาติให้ความสนใจตอนนี้มี 2 เรื่อง คือ แนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยและการเมืองในประเทศ ดังนั้น ความคาดหวังว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับหวนคืนมาในตลาดหุ้นไทยเหมือนในอดีตคงยังไม่เห็นได้ง่ายในเร็ววันนี้

อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล  ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ ให้ความเห็นว่า ต่างชาติยังคงรอความชัดเจนจากปัจจัยทางการเมือง คือการกำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจน ซึ่งคงต้องใช้เวลาเพราะกฏหมายลูกที่เกี่ยวข้องอาจต้องรอความชัดเจนไปจนถึงเดือนกันยายน 2561 ขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่กดดันให้เงินทุนยังคงไหลออกอย่างต่อเนื่อง

แนวโน้มของเงินทุนต่างชาติที่จะไหลกลับมาเป็นยอดซื้อสุทธิคงยังไมได้เห็นในช่วงนี้เพราะมีปัจจัยกดดันทั้งภายในและภายนอกประเทศ ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าเมื่อมีการประกาศวันเลือกตั้งที่ชัดเจนอาจจะดึงเงินทุนต่างชาติบางส่วนกลับมาตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง สำหรับเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยในปีนี้คาดว่าจะยืนอยู่ที่ระดับ 1,850 จุดได้”

สอดคล้องกับ ภรณี ทองเย็น ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส  กล่าววว่า ขณะนี้นักลงทุนต่างชาติได้ชะลอการขายลงไปบ้างแล้ว หากเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ โดยรวมได้ตั้งต้นปีต่างชาติมียอดขายสุทธิ 1.3 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตามเงื่อนไขที่จะทำให้เงินทุนไหลเข้าในตลาดหุ้นไทยน่าจะเป็นเรื่องของอัตราดอกเบี้ยในประเทศ หากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็น่าะจะทำให้ทิศทางของค่าเงินบาทดีขึ้น และอีกปัจจัยคือประเด็นทางการเมือง ซึ่งคาดว่าการเลือกตั้งน่าจะเกิดได้ไม่เกินเดือนพฤษภาคม 2562  ดังนั้นมีโอกาสที่เงินทุนต่างชาติน่าจะกลับมาได้จริงประมาณปลายไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของปีนี้

ขณะที่ประเมินดัชนีเป้าหมายสิ้้นปีนี้น่าจะอยู่ที่ระดับ 1,800-1,830 จุดบนปัจจัยสนับสนุนได้แก่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้่ย และความชัดเจนในการเลือกตั้งเกิดขึ้น

ขณะที่ สรพล วีระเมธีกุล นักกลยุทธ์การลงทุน บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ประเมินว่า การซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทย ชะลอตัวไป แต่จะยังคงมีลักษณะการซื้อและขายในลักษณะนี้ต่อไปอีกระยะหนึ่ง และเชื่อว่า ต่างชาติยังไม่มีแนวโน้มจะกลับมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยอีก เพราะปัจจัยภายในและภายนอกไม่ได้เอื้อประโยชน์หรือดึงความน่าสนใจให้กลับเข้ามาลงทุน

“ฝ่ายวิจัยไม่ได้ให้น้ำหนักกับนักลงทุนต่างชาติมากนัก เพราะเวลานี้การซื้อขายของกลุ่มนักลงทุนในประเทศที่มีน้ำหนักตลาดหุ้นไทยมากกว่า และมองว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะที่ผ่านมาตลาดหุ้นเกิดใหม่ในแถบภูมิภาคเอเชีย มีเงินทุนไหนออกอย่างต่อเนื่อง และตลาดหุ้นไทยก็มีทิศทางสอดคล้องกับเพื่อนบ้านด้วย”

สรพล บอกว่า ภาพรวมของการเทขายของนักลงทุนต่างชาติในภูมิภาคเอเชียตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา พบว่ามีการเทขายในตลาดหุ้นไต้หวัน มากที่สุดมีเม็ดเงินไหลออกประมาณ 5.3 พันล้านดอลลาร์ รองลงมาเป็นตลาดหุ้นไทย มูลค่า 4.4 พันล้านดอลลาร์ ถัดมาตลาดหุ้นอินโดนีเซีย มูลค่า 3.01 พันล้านดอลลาร์ ตลาดหุ้นเกาหลี มูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ และตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ มูลค่า 1.2 พันล้านดอลลาร์

หากให้ประเมินว่าต่างชาติจะหยุดขายในตลาดหุ้นไทยเมื่อไรนั้น คาดว่าน่าจะอยู่ที่ต้นปี 2562 ซึ่งตอนนั้นความชัดเจนจากปัจจัยที่มีอิทธิพลจะมีความชัดเจนมากขึ้น โดยเป้าหมายดัชนีในเดือนมิถุนายนนี้ฝ่ายวิจัยประเมินไว้ที่แนวรับ 1,680 -1,745 จุด

นอกจากนี้ ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO)  กล่าวว่า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติเริ่มทรงตัว เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจไทยเริ่มดีขึ้น และทำให้การขายของนักลงทุนต่างชาติชะลอตัวลง หลังขายหุ้นไทยไปกว่า 130,000 ล้านบาท แต่ปัจจัยที่ยังฉุดความเชื่อมั่นคือเรื่องความไม่ชัดเจนการเลือกตั้งของไทย

ด้าน สมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการและกรรมการผู้อำนวยการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เผยผลสำรวจ ความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนต่อมุมมองด้านการลงทุนและคาดการณ์ทิศทางดัชนีราคาหุ้นไทย โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ประเมินดัชนีหุ้นไทยจะมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,860 จุด ส่วนกำไรบริษัทจดทะเบียนค่าเฉลี่ยเติบโตได้ 11.04% กำไรสุทธิต่อหุ้นอยู่ที่ 110.64 บาท ส่วนปัจจัยลบที่กดดันตลาดคือเรื่องการเลือกตั้งในประเทศ โดยส่วนใหญ่ประเมินการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นช่วง มีนาคม – พฤษภาคม 2562

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight