ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีน กับสหรัฐ ที่ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะสิ้นสุดลงในเร็ววันนี้ ทำให้บรรดาบริษัทจีนเข้ามาลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้นอย่างมาก ในความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการโดนสหรัฐเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูง สถานการณ์ที่ช่วยหนุนเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคนี้ แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะสร้างความไม่พอใจให้กับ “โดนัลด์ ทรัมป์”
เว็บไซต์นิกเคอิ เอเชียน รีวิว รายงานว่า ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2562 ถึงวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา เวียดนามมียอดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) ของนักลงทุนจีน เฉพาะโครงการที่ผ่านการอนุมัติแล้ว เพิ่มขึ้นถึง 5.6 เท่า มาอยู่ที่ 1,560 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเฉพาะตัวเลขระหว่างเดือนมกราคม – เมษายนที่ผ่านมา ก็แซงหน้ายอดรวมเอฟดีไอจีนตลอดทั้งปี 2560 ไปแล้ว
รายงานระบุว่า ถ้าหากการลงทุนยังอยู่ในระดับนี้ต่อไป จีนอาจนำโด่งเป็นนักลงทุนต่างชาติที่เข้าลงทุนในเวียดนามสูงสุด นับแต่ที่เวียดนามเริ่มเปิดเผยข้อมูลเอฟดีไอเป็นรายประเทศครั้งแรกเมื่อปี 2550
เกาหลีใต้ตามมาเป็นอันดับ 2 ในปีนี้ ด้วยมูลค่าการลงทุนที่ผ่านการอนุมัติแล้วราว 1,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนญี่ปุ่นนักลงทุนรายใหญ่สุดเมื่อปี 2560 และ 2561 มียอดการลงทุนประมาณ 730 ล้านดอลลาร์
ขณะที่ไทยก็มองเห็นเม็ดเงินลงทุนจากจีนไหลเข้ามาในประเทศมากขึ้นเช่นกัน โดยในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ นับถึงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ไทยอนุมัติเอฟดีไอจากจีนเพิ่มขึ้น 2 เท่ามาอยู่ที่ 933 ล้านดอลลาร์ หรือราว 29,300 ล้านบาท
ฟิลิปปินส์ก็มียอดเอฟดีไอจากจีนพุ่งสูงขึ้นมากเช่นกัน โดยเมื่อปีที่แล้ว จีนแซงหน้าญี่ปุ่นขึ้นมาเป็นประเทศที่ทำเอฟดีไอมากสุด ด้วยมูลค่าโครงการที่ได้รับอนุมัติทั้งสิ้น 979 ล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า 20 เท่า
ตัวเลขการลงทุนที่พุ่งขึ้นข้างต้น เป็นผลมาจากการที่สหรัฐจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มมากขึ้น บีบให้บริษัทจากแดนมังกร ต้องหาฐานการผลิตทางเลือก ซึ่งนับตั้งแต่ปีที่แล้ว มีบริษัทจดทะเบียนจีนมากกว่า 20 ราย ที่ย้ายฐานการดำเนินงาน หรือขยายการผลิตในต่างแดน หรือประกาศแผนที่จะทำเช่นนี้
ในรายงานเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ระบุว่า ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จีนได้กระชับความเชื่อมโยงด้านการลงทุนกับประเทศกำลังพัฒนาที่เหลืออยู่ในเอเชีย แต่เทรนด์ดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะเร่งความเร็วขึ้น จากความขัดแย้งทางการค้า
ธุรกิจจีนให้ความสนใจที่จะมุ่งหน้ามายังเวียดนามเป็นพิเศษ เพราะความคล้ายคลึงในด้านภูมิศาสตร์การเมือง และแรงงานราคาถูก สอดคล้องกับรายงานของโนมูระ ที่ออกมาเมื่อเร็วๆ นี้ ระบุว่า เวียดนามเป็นประเทศที่ได้รับประโยชน์มากสุดจากสงครามการค้าของ 2 ชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ดี การย้ายฐานการผลิตข้างต้นก็อาจทำให้เวียดนามต้องจ่ายค่าตอบแทนออกไป ถ้าหากการส่งออกที่เพิ่มมากขึ้น จะทำให้รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐเกิดความไม่พอใจขึ้นมา ถึงการขาดความสมดุลทางการค้าที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจตามมาด้วยการปรับภาษีขึ้นอีก โดยในช่วง 5 เดือน นับถึงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เวียดนามส่งออกไปไปสหรัฐ เพิ่มขึ้นถึง 28% ต่อปี