ครม.เห็นชอบมาตรการภาษี 3 ด้าน หนุนเอกชนรักษาสิ่งแวดล้อม ยกเว้นภาษีบรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้เองทางชีวภาพ และขยายเวลามาตรการภาษีพี่ช่วยน้อง หวังส่งเสริมเอสเอ็มอีไทยเพิ่มอีก 1 ปี หนุนซื้อสลากออมทรัพย์ ธอส. ยกเว้นภาษี เหมือนกับออมสิน และ ธ.ก.ส.
นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมบรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้เองทางชีวภาพ โดยกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถนำรายจ่ายที่จ่ายเป็นค่าซื้อบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้เองทางชีวภาพและได้รับการรับรองจากกระทรวงอุตสาหกรรม มาหักเป็นรายจ่ายได้เป็น 1.25 เท่าของรายจ่ายที่จ่ายไป ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 เป็นเวลา 3 ปี ภาครัฐยอมสูญเสียรายได้วงเงิน 1,300 ล้านบาท แต่ช่วยลดภาระกำจัดขยะ การส่งเสริมภาคเอกชนหันมาดูแลสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ยังเห็นชอบขยายเวลามาตรการภาษี เพื่อส่งเสริมการดำเนินธุรกิจของเอสเอ็มอีตามโครงการพี่ช่วยน้อง จากเดิมครบกำหนดมาตรการไปแล้วภายในสิ้นปี 2561 จึงให้ขยายเวลาออกไปอีกถึง 31 ธันวาคม 2563 เพื่อส่งเสริมให้เอกชนรายใหญ่เข้ามาดูแลช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้เข้มแข็งต่อไป
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามกฎหมายไทยที่มีสินทรัพย์ถาวรเกิน 200 ล้านบาท และการจ้างแรงงานเกิน 200 คน (เอกชนรายใหญ่) นำรายจ่ายหักลดหย่อน 2 เท่า แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่าย เพื่อการกุศลสาธารณะ หรือเพื่อการสาธารณะประโยชน์ และรายจ่ายเพื่อการศึกษาหรือเพื่อการกีฬา เพื่อนำไปช่วยเหลือดูแลเอสเอ็มอี ที่มีสินทรัพย์ถาวรไม่เกิน 200 ล้านบาท และจ้างแรงงานไม่เกิน 200 คน (เอสเอ็มอีน้อง) เป็นระยะเวลา 3 รอบระยะเวลาบัญชี
ที่ประชุม ครม.ยังเห็นชอบยกเว้นภาษีดอกเบี้ยจากการซื้อสลากออมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เงินฝาก ธอส. เพื่อส่งเสริมการออมเงินระยะยาว ให้เหมือนกับการฝากเงินกับธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เนื่องจาก ธอส.เตรียมแผนการออกรางวัลสลากออมทรัพย์เดือนสิงหาคม 2562 สลากอายุ 3 ปี และยังมีแผนปล่อยสินเชื่อ เพื่อส่งเสริมให้ผู้มีรายได้น้อยและปานกลางขอกู้เพื่อซื้อบ้านวงเงินสินเชื่อปี 2562 จำนวน 200,000 ล้านบาท แม้รัฐบาลจะสูญเสียรายได้จากดอกเบี้ย แต่เพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวให้ประชาชน
