เป็นผู้จัดอันดับต้น ๆ ของวงการบันเทิงที่มีผลงานออกสู่สายตาประชาชนมามากมาย สำหรับ แม่จิ๋ม มยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช ซึ่งหลายคนก็จะมองว่าแม่จิ๋มคือมาเฟียของวงการบันเทิง ถ้านักแสดงคนไหนเล่นไม่ดีสั่งปลดเลยทีเดียว ล่าสุด แม่จิ๋ม มาเปิดใจผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่องone31 ที่มีหนิง ปณิตา และ นุ้ย สุจิราเป็นพิธีกร
อยู่ในวงการมา 50 ปี เป็นผู้จัดอันดับต้นๆ ของประเทศไทย หลายคนบอกว่าการเป็นผู้จัดเราก็นั่งทำงานในออฟฟิศ ชี้นิ้วสั่งให้ดารามากราบไหว้ หรืออะไรเราบ้าง ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลหลายคนอาจจะเข้าใจผิดทั้งหมด?
แม่จิ๋ม : ผู้จัดสมัยก่อนตอนที่แม่เข้ามาเป็นมันยังไม่เยอะ และไม่เรื่องมากเท่าทุกวันนี้ พอเข้ามาเป็นผู้จัดปุ๊บก็จะเริ่มประสาทแตก คนนี้อย่างนั้น คนนั้นอย่างนี้ วันนี้มาไม่ได้ วันนี้ต้องรีบไป แต่สมัยนั้นไม่มี สมัยนั้นคือ คุณต้องให้เราตั้งแต่ 6 เช้าถึง 2 ทุ่ม
อย่างกองของอาถ้าห้องน้ำไม่สะอาดก็ไปลงทุนล้างห้องน้ำเอง?
แม่จิ๋ม : สมัยนั้นไม่มีแม่บ้าน คือมีอยู่วันนึงไปถ่ายละครที่วัด เราก็เดินไปดูห้องน้ำ ซึ่งคนมาเข้าเยอะ เราเห็นคือห้องน้ำไม่ไหวแล้ว พวกนักแสดง ทีมงาน เขาต้องอยู่อีกทั้งวัน เราก็จะบอกคนที่เก็บกวาดกองเราว่าไปทำ เขาก็เดินเข้าไปเอากระดาษทิชชู่ม้วน ๆ ไปวาง เราก็เดินเข้าไปถามทำไมถึงไม่ทำ เขาบอกหนูทำไม่ได้ หนูจะอาเจียน เราก็เลยบอกงั้นไม่เป็นไร ก็เดินไปเอาถังมาใบนึงรองน้ำมาแล้วราด ๆ แล้วฉันก็ล้างก็ไม่เห็นเป็นไรเลย แล้วพอเราทำได้ ทุกคนทำได้หมด คือเราอยากให้ใครทำอะไรเราทำ แต่เราถือว่าอันนี้มันคืองานของเรา เมื่อก่อนไปถ่ายละครร้านเพชร กระจกมันก็ใส ๆ แต่พอคนจับเยอะ ๆ มันก็เขอะหมดเลย เราก็บอกเด็กฝึกงานให้ไปเช็ดกระจก เราก็ยืนรอว่าเมื่อไหร่มันจะมาเช็ดสักที เราก็ทำเอง อาจะเป็นแบบใช้ใครไม่ได้ก็จะไม่ใช้ ทำเอง แล้วเด็กที่เราให้เช็ดมันบอกว่า เออ แม่ก็เช็ดได้ เออฉันเช็ดได้แล้วฉันก็ไม่อายใครด้วย เขาก็บอกว่าแต่หนูอาย คือแม่อะถ้าใครเดินผ่านไป ผ่านมาก็รู้ว่าแม่ไม่ใช่เด็กเช็ดกระจกหรอก แต่ตัวเขาเป็นเด็กกลัวเพื่อนเห็น เราก็บอกว่าอย่าอยู่เลยกองถ่าย ไปฝึกที่อื่น แต่ว่าบางทีถ้าจะเป็นผู้จัดจริง ๆ ต้องเอาใจใส่ว่าอาหาร บางทีออกมาแล้วนักแสดงทานไม่ได้ บางทีเขามีเงินเป็นหมื่นในกระเป๋า แต่เขาออกไปซื้อไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องให้อะไรที่เขาแฮปปี้
แต่ก็มีคนเม้าท์ว่าแม่จิ๋มเป็นมาเฟียวงการบันเทิง?
แม่จิ๋ม : ไม่เลย แสดงว่าคนพูดไม่รู้จริง ถ้าคนพูดรู้จริงก็จะรู้ว่าแม่เป็นคนที่ใจดีที่สุดในบรรดาผู้จัดทั้งหมด คือคิดออกไหม คุณให้คิวเขาอาทิตย์ละ 3 วัน แต่คุณเอาคืนไปวันครึ่ง แล้วคนที่ต้องรอเข้าฉากกับคุณ บางทีตัวประกอบมาแล้ว ยกออกไป บางทีเราทำงานไม่ได้ตามกำหนดทุกอย่างมันบานไปหมด ทุกอย่างมันเพิ่มไปหมด คุณห่วงแต่จะรับอีเว้นท์ เพราะว่าถ้าคุณไม่มีละครเสริมคุณก็ไม่ได้อีเว้นท์ ไม่ใช่อีเว้นท์มาเสริมละครนะ อีเว้นท์จะมีก็ต่อเมื่อคุณมีละครเล่น
บางกระแสบอกว่าถ้าบางคนมาเล่น แล้วเล่นไม่ดี แม่สั่งเปลี่ยนตัวกะทันหันเลย?
แม่จิ๋ม : ไม่เคยสั่งเปลี่ยนใครเลย แต่ว่าจะมีการประชุมกันภายใน สมมุติว่าคนนี้ที่เลือกมาเล่นไม่ได้จริง ๆ เอามาเทรนใหม่แล้ว เข้าคลาสแล้วก็ยังไม่ได้ แล้วเขาเล่นออกไปเขาก็เสีย เราก็เสีย ถ้าเป็นลงมติทั้งในห้องส่ง ทั้งในออฟฟิศว่าเปลี่ยนเถอะเราก็จะบอกว่าขอเปลี่ยน แต่ว่าต้องสุดวิสัยจริง ๆ แต่แทบไม่เคยนะ
ถ้าทางบ้านบอกคนนี้เล่นฉันไม่ดู?
แม่จิ๋ม : ก็ไม่ต้องดูก็ได้ ไม่เป็นไร ไม่ใช่ว่าหยิ่งนะ แต่งานเราทำแล้ว แล้วเราตั้งใจทำ ถามเราว่าเราเต็มที่กับงานไหม เราเต็มที่ ทำดีที่สุดแล้ว เพราะถ้าทำไม่ดีก็จะไม่ส่งงานเข้าไป
ในชีวิตการเป็นผู้จัด แม่เคยแบนใครเป็นเรื่องเป็นราวไหม?
แม่จิ๋ม : ไม่เคย เพราะว่าวงการบันเทิง วงการละคร มันต้องเวียน เดี๋ยวมันก็มาเจอกันจะโกรธอะไรกันหนักหนา
แล้วมีไหมที่แบบตื่นก็ไม่ตื่น อีเว้นท์ก็วิ่ง ผู้จัดการก็เยอะกับฉันเหมือนกัน ประสานงานกองมาบอกแม่ปุ๊บ มีไหมแบบเรื่องหน้าไม่ต้องเล่นแล้ว?
แม่จิ๋ม : ไม่พูดมั้ง อันนั้นเป็นคิดในใจป่ะ
แสดงว่าต้องเคยมีแบบนี้ เชื่อว่าความเป็นผู้จัดต้องเจออะไรแบบนี้บ้าง?
แม่จิ๋ม : ไม่แม่ก็จะบอกว่าหนูถ้าหนูไม่มีละครหนูก็ไม่มีอีเว้นท์นะลูก ถ้าหนูอยากรับอีเว้นท์อย่างเดียวก็หยุดละครก่อนนะแล้วก็ดูสิจะมีอีเว้นท์ไหม เราพูดดี ๆ เราไม่ได้อะไร
เชื่อว่าทุกเรื่องจะต้องมีบุคลากรเยอะสักหนึ่งคน มันต้องเจอ เขายังกล้าไหมถ้าแม่อยู่ในกอง?
แม่จิ๋ม : ทุกคนก็ไม่กล้าต่อหน้าหรอก แต่ไอ้เรื่องลับหลับเราก็ต้องทำใจเหมือนกันนะว่าเราทำงานกับคน 30 คนใน 1 วัน เราก็ต้องดูว่าใครมีปัญหาอะไร เราเดินผ่านไป ผ่านมา เดี๋ยวเราก็รู้ ก็เห็น ก็คุยกัน
สมมุติเรารู้ปัญหาในกองถ่าย แม่มีวิธีรับมือยังไง?
แม่จิ๋ม : เราก็ต้องดูก่อนว่าปัญหาเกิดจากอะไร ถ้าเป็นนักแสดงไม่พร้อมที่จะเล่นก็คุยตัวต่อตัวเข้าในห้องมืดนิดนึงเผื่อสติจะได้กลับมา ถ้าเป็นทีมงานจะโดนเลย เป็นทีมงานไม่ได้เลยนะ คุณเป็นทีมงานคุณต้องรู้ว่ามาทำเพื่ออะไร คุณต้องมีจุดหมายของคุณ คุณทำอะไร ได้อะไร เสียอะไร ถ้าเผื่อไม่เต็มใจทำออกไปได้เลย จะได้เรียกคนอื่นมา คนตกงาน คนว่างงานมีเยอะแยะ ไม่เป็นไรถ้าคุณยังไม่พร้อมคุณกลับบ้าน
มาที่ลูก 2 คนของแม่ พี่จ๋ากับพี่เจ็ท คือดวงใจของแม่เลยใช่ไหม?
แม่จิ๋ม : เขาคงเจอพี่ ๆ เยอะแล้ว ลูกก็เลยนิ่ง ๆ ถามว่าเคยตีลูกไหม เคย ปกติจะไม่ตีเลย แต่บอกเขาไว้แล้วว่าถ้าเกเรเรื่องเรียนหนังสือแม่ตี
อย่างล่าสุดพี่จ๋า พี่เจ็ทจัดงานวันเกิดให้แม่ มีเพื่อนๆ ในวงการมาร่วมงานมากมายเลย?
แม่จิ๋ม : มันไม่เหมือนงานวันเกิด มันเหมือนการนั่งดูภาพเมื่อ 30-40 ปีที่แล้วอยู่ที่บ้าน ก็สนุกดีค่ะ มีแต่คนใกล้ ๆ ตัวเรา แม่เองไม่ได้อยากมีงานอะไร มันเฉย ๆ วันเกิดใส่บาตร ทำบุญ ก็แค่นั้น แต่เด็ก ๆ ไม่ยอมก็จะจัดกัน เราก็แฮปปี้
ล่าสุดพี่จ๋าขออนุญาตไม่มีทายาท คุณแม่ไม่อยากอุ้มหลานหรอ?
แม่จิ๋ม : อยากอุ้มหลาน แต่ว่ามันไม่ใช่ชีวิตของเรา เขาอยู่กันสองคน เขาอยากมีหรือไม่อยากมีมันก็เป็นเรื่องของเขาสองคน ตอนนี้เรา 70 ปี เราจะอยู่กับหลานได้อีกกี่ปี แม่อยู่ได้อย่างสบายโดยไม่ต้องบังคับลูกว่าอยากมีหลาน ชั่วชีวิตแม่ก็คงแค่ลูก ถ้าไม่มีหลานก็ไม่เป็นไร เราก็เอาความรักทั้งหมดที่เรามีให้ลูกเราอยู่แล้ว ถ้าเขามีลูกขึ้นมาเราต้องเฉลี่ยล่ะ แต่ว่าเราก็ดีใจที่เราได้รักลูกเราทั้งสองคนเต็ม ๆ
เรื่องของอาแป๊ะ มันเป็นเรื่องที่ทำให้แม่หดหู่ไปพักใหญ่ ๆ?
แม่จิ๋ม : คือพ่อเป็นโรคไต รักษาอยู่ 6 ปี 7 ปีแล้วแหละ เข้า-ออก โรงพยาบาล เหมือนบ้านอีกหลัง จนกระทั้งสุดท้ายติดเชื้อ แล้วมันไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว เราก็ต้องเป็นคนตัดสินใจที่ต้องให้หยุดทุกอย่าง ซึ่งมันทรมานความรู้สึกเรามาก คือวันสุดท้ายที่หมอโทรมาตามตอน 7 โมงเช้า บอกว่ามาเลยได้ไหม เราก็กลัว คือกลัวตั้งแต่รับโทรศัพท์แล้ว ก็รีบไปกันเลยกับพี่จ๋า พี่เจ็ท ไปถึงก็สายเต็มตัวไปหมด ไม่กล้าเปิดดู ไม่กล้าทำอะไร จนกระทั่งคุณหมอมาก็บอกว่าจะให้ยาต่อไหม ก็ถามว่าถ้าหมดยาแล้วไม่หายก็ต้องเจาะคอ ต้องให้ทุกอย่างที่เป็นสายยางลงไปแล้ว บอกว่าถ้าถึงขนาดก็ขอหยุด หยุดยาชุดนี้เลยนะครับ แต่แบบว่าเราต้องเป็นคนบอก นึกออกป่ะ ปล่อยเขาไปเถอะ พ่อเป็นคนรอบคอบมาก พ่อทำบันทึกการรักษาเอาไว้ว่าห้ามเจาะ ห้ามปั๊มหัวใจ ห้ามทุกอย่างที่ช่วยให้มานอนเป็นผัก เขาเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เราก็เอาให้หมอดู เราก็ไม่ต้องพูดคำนั่น มันก็เหมือนเป็นคนสั่ง มันใจร้ายอ่ะ ตอนนั้น 7 โมงเช้าถึง 8 โมงก็รอจนยาหมด ก็ไปตอนทุ่มนึง
แม้ว่ามีการคุยกันแล้ว แต่มันก็ทำใจลำบาก?
แม่จิ๋ม : แม่ไม่รู้ว่าทำใจลำบากหรือเปล่า แต่แม่ช็อกไปปีนึงโดยที่แม่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ตอนนั้นน้ำตาไม่มี ความรู้สึกก็ไม่มี มันเหมือนน็อกตัวเอง แล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นต่อจากนั้น รู้ว่านั่งรถพยาบาลมาด้วยกัน พ่อเป็นอิสลาม เพราะฉะนั้นพ่อจะต้องฝังภายใน 24 ชม. พ่อจัดทุกอย่างแม้แต่ที่ที่จะนอน สั่งเลขา สั่งทุกคน สั่งน้องเจ็ทว่าถ้าพ่อเป็นอะไรไปให้จัดอย่างนี้ วางอย่างนี้นะ ทุกจุด แล้วทุกคนที่บ้านก็คือทำรอเลย แล้วมานอน แล้วแม่ก็ไม่รู้อะไร ใครมาที่งาน ใครมารดน้ำพ่อ ใครมาฝั่งพ่อ แม่ไม่รู้เรื่องเลย จนวันนี้ต้องถามเลขาตลอดว่าวันนั้นมันเป็นยังไง
เหมือนชีวิตมันขาดที่พึ่ง แล้วเสียศูนย์ไปเลยไหม?
แม่จิ๋ม : มันขาดคู่ชีวิตที่เคยช่วยกันดูแลกัน พออยู่คนเดียวแล้วพ่อตื่นเช้าขึ้นมาก็คิดว่าทำอะไรอ่ะ กินไรดี ถ้าพ่ออยู่เราก็ถามเขา ทุกวันมันเป็นแบบนี้มา 30-40 ปีแล้วก็ไม่เคยแยกกันเลย ก็เลยแบบชีวิตนี้จะอยู่ทำไม
แม่คิดอย่างนั้นเลย อยากจะตามพ่อไป?
แม่จิ๋ม : เคยคิด ๆ อยากไป เคยว่าไปพร้อมกันก็ดี ไม่ต้องคอยกัน คือเวลานี้เขาอาจจะไปคอยอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เป็นเยอะ แต่ว่าไม่บอกใคร
จนวันนี้ความรู้สึกแม่ยังเป็นแบบนั้นอยู่ไหม?
แม่จิ๋ม : ยังเป็นแบบนั้น แต่ว่าดีขึ้น เพราะว่าสงสารลูก ลูกเห็นแม่เป็นทุกข์ เห็นแม่ร้องไห้ แต่แม่ไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็น เพราะว่าทุกข์ของเราก็คือทุกข์ของเรา คือพ่อไม่ได้เป็นเศรษฐีร่ำรวยอะไรนะ แต่พ่อเป็นคนดีมาก แม่ไม่เคยคิดถึงชาติหน้าเลย แม่คิดว่าถ้าได้ขึ้นไปบนนั้นคงได้เจอเขา
ถ้าตอนนี้พ่อรอแม่อยู่ จะบอกอะไรกับพ่อ?
แม่จิ๋ม : จะบอกว่าเดี๋ยวไปหา ความรักบางทีมันเกิดง่ายจนคนบางคนไม่เห็นค่า แต่ความรักมันมีความหมายมากสำหรับคนที่เขาเอาความรักจริงๆ มาให้คุณ
3 ปีที่พ่อจากไป แม่สวดมนต์ให้พ่อทุกวัน?
แม่จิ๋ม : 1 ปีเต็ม ๆ ที่ไม่เคยขาดเลยสักวัน พอปีที่แล้วก็ลดลงบ้าง เพราะว่าเรามีความรู้สึกว่า ถ้าเราเข้าไปแล้วเป็นแบบนี้อยู่เราจะไม่ดีขึ้น แม่ก็เลยห่างออกไป แม่ก็สวดอยู่ที่หมอนไม่ได้เข้าห้องพระ ก็พยายามบอกตัวเองว่าอย่าจมอยู่ตรงนั้นเยอะมันจะแย่ด้วย
ที่มา รายการคุยแซ่บ SHOW
SHARE
FOLLOW US