Finance

เปิด 5 หุ้นแชมป์พุ่งแรง!! สวนทางดัชนีร่วง

 

ในเดือนพฤษภาคม 2561 เป็นเดือนที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงแรงโดยมายืนแถวใกล้ 1,700 จุด ซึ่งภาพรวมดัชนีหุ้นลดลง 3.09% โดยรวมมีแรงเทขายกลุ่มอุตสาหกรรมหลักๆขนาดใหญ่ ทั้งกลุ่มพลังงาน สื่อสาร ขณะที่ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมมีปัจจัยสำคัญในเชิงบวง คือประเด็นทางการเมืองมีความคืบหน้า และชัดเจนมากขึ้นทำให้บรรเทาแรงเทขายไปได้บ้าง

ทั้งนี้ จากการสำรวจข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หุ้นขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) 100 อันดับแรก พบว่า มีหุ้นที่สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 30 บริษัท ซึ่งราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่ระดับ 1 – 28% โดยหุ้นส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มขนาดกลางและเล็ก

สำหรับหุ้นที่มีราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย หุ้นบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือSTEC เพิ่มขึ้น 28% รองลงมาหุ้นบริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SUPER เพิ่มขึ้น 25.22% หุ้นบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS เพิ่มขึ้น 15.56% หุ้น ช.การช่าง จำกัด (มหาชน)หรือ CK เพิ่มขึ้น 9.38% และหุ้นบริษัท วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย จำกัด มหาชน) หรือ VGI เพิ่มขึ้น 9.09%

จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นว่า หุ้นที่ปรับตัวขึ้นเป็นหุ้นกลุ่มรับเหมาขนาดใหญ่ เนื่องจากนักลงทุนเข้ามาดักซื้อ เพื่อเก็งกำไรกรณีประเด็นทางการเมืองจะมีความชัดเจนในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ เพราะการที่ศาลรัฐธรรมนูญลงมติเป็นเอกฉันท์ตัดสินร่าง พ.ร.บ.ส.ส.ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ  ทำให้มีความคืบหน้าในการเลือกตั้ง ดังนั้นบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยน่าจะฟื้นตัวได้ในระยะสั้น

“อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล” ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง หุ้นกลุ่มรับเหมาจะเป็นหนึ่งในกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจเข้าลงทุน  เพราะมีปัจจัยสนับสนุนทั้งเรื่องความชัดเจนทางการเมืองและพ.ร.บ.อีอีซี ประกาศใช้ก็จะช่วยกระตุ้นการลงทุนของภาครัฐ ดังนั้น จึงแนะนำให้ทยอยซื้อสะสมในหุ้นที่เกี่ยงโยงกับโครงการลงทุนของภาครัฐ เพื่อลงทุนระยะกลาง ขณะที่แนะเก็งกำไรในหุ้นรับเหมาที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเข้าใกล้มูลค่าพื้นฐานที่ประเมินไว้

“ในครึ่งปีหลังหุ้นรับเหมาน่าจะเป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน เพราะการเมืองมีความชัดเจน และพ.ร.บ.อีอีซี น่าจะช่วยให้การลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้น จึงแนะนำหุ้นรับเหมาที่ราคาหุ้น ยังไม่เต็มมูลค่าเชิงพื้นฐาน”

สำหรับ หุ้นSTEC  ราคาเริ่มเข้าใกล้มูลค่าพื้นฐาน โดยฝ่ายวิจัย คาดผลประกอบการเพิ่มขึ้นในไตรมาส 2 ปี 2561 จากรายได้ของโครงการใหม่ๆ ซึ่งรายได้จากการก่อสร้างเพิ่มขึ้น 6% จากงวดเดียวกันปีก่อน มีอัตรากำไรลดลงจาก 8.2% ในไตรมาส 1 ปี 2561 เป็น 7.7% แต่เราคาดว่าอัตรากำไรจะดีขึ้นในอนาคตจากการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในปี 2562ที่เริ่มการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพู ในขณะที่สายสีเหลืองจะเริ่มใน ครึ่งหลังของปี 2561 โดยมูลค่าที่เหมาะสม 22 บาทอิงพีอี PER 27 เท่าสำหรับปี 2561 โดยคาดว่า ผลประกอบการจะเพิ่มขึ้นในปีนี้และเติบโตสูง ในปี 2562  มีความเสี่ยงคือ ความล่าช้าในการก่อสร้าง และต้นทุนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงราคาวัตถุดิบและน้ำมันที่เพิ่มขึ้น

บล.กรุงศรี ระบุว่า การเมืองไทยเริ่มชัดเจน ศาลรัฐธรรมนูญลงมติเป็นเอกฉันฑ์ตัดสินร่าง พ.ร.บ.ส.ส.ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ   ซึ่งขั้นตอนต่อจากนี้ รอนายกรัฐมนตรีนำร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับขึ้นทูลเกล้าเพื่อลงพระปรมาภิไธย จากนั้นจะประกาศในราชกิจจานุเบกษา และจะต้องจัดการเลือกตั้งให้เสร็จภายใน 150 วัน ซึ่งหากเป็นไปตามที่คาดการณ์ คาดว่าการเลือกตั้งทั่วไปของไทยน่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค.ปีหน้า ซึ่งเป็นไปตาม Road map เดิมที่รัฐบาลเคยประกาศไว้

ภาพการเมืองที่ชัดเจนจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนเป็นบวกต่อบรรยากาศการลงทุนโดยรวม หุ้นที่เกี่ยวข้องกับภาคการเมืองจะกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง โดยเฉพาะกลุ่มรับเหมา (CK – STEC – SEAFCO) และ นิคมอุตสาหกรรม (AMATA)

บล.ฟินันเซียไซรัส ประเมินว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยผ่าน พรป. เลือก ส.ส. ทำให้การเลือกตั้งน่าจะเกิดขึ้นได้ตามกำหนดเดิมคือ ช่วง ก.พ. 2562 ซึ่งมองว่าเป็นบวกต่อกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ทั้งของภาครัฐฯและเอกชนที่จะเร่งตัวขึ้น เช่น รับเหมาก่อสร้าง (CK) วัสดุก่อสร้าง (SCC) และนิคมฯ (AMATA) รวมถึงค้าปลีกอย่าง CPALL ROBINS และผู้พิมพ์บัตรเลือกตั้งอย่าง TKS

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight