การเปิดศึกการค้ากับจีนของสหรัฐรอบใหม่ ด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าสินค้าจีนจาก 10 % เป็น 25 % มูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ ตามด้วยการปิดล้อมทางเทคโนโลยี หัวเว่ย ของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ โดยอ้างเรื่องความมั่นคง เป็นประเด็นเขย่าโลกตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และยังเป็นเหตุการณ์ที่อยากจะคาดเดาผลกระทบที่จะตามมา
น่าสนใจว่า การเปิดศึกกับจีนรอบนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์พุ่งเป้าไปที่หัวเว่ย ยักษ์เทคโนโลยี และผู้ค้ามือถือสัญชาติจีนหลังกล่าวเป็นนัยๆ มาหลายครั้ง ด้วยการประกาศขึ้นบัญชีดำบริษัทที่เห็นว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง แม้คำสั่งไม่ระบุชื่อบริษัท แต่ประกาศจากกระทรวงพาณิชย์(สหรัฐ) ที่ออกตามมาประกาศหราว่า ห้ามบริษัทอเมริกันจำหน่ายหรือถ่ายโอนเทคโนโลยีให้หัวเว่ย
ก่อนที่ (กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ) จะประกาศชะลอคำสั่งออกไปอีก 90 วัน ซึ่งไม่ใช่เหตุผลทางมนุษยธรรม หากคงตระหนักภายหลังว่า บริษัทอเมริกันที่ค้าขายกับยักษ์มือถือจีนรายนี้ได้รับผลกระทบเช่นกัน
ไม่ใช่เพียงหัวเว่ยเท่านั้น ที่อยู่ในบัญชีดำของสหรัฐ มีข่าวว่า สหรัฐกำลังเล็งประกาศแบนบริษัทที่ดำเนินธุรกิจกล้องวงจรปิดสัญชาติจีนอีก 5 ราย คือ 1. บริษัทเม็กวี 2.บริษัท เจ้อเจียง ต้าหัว เทคโนโลยี 3.บริษัท หางโจว ฮิควิชัน ดิจิทัล เทคโนโลยี 4. บริษัท เหมยหย่า พิโค และ 5.บริษัทไอฟลายเทค
ตามข่าว สหรัฐไม่อ้างเรื่องจารกรรมกับบริษัททั้ง 5 ราย แต่โยงไปไกลว่า จีนใช้เทคโนโลยีจากบริษัทเหล่านี้กดขี่คนอุยกูร์
หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐขึ้นบัญชีดำบริษัทที่เป็นภัยต่อความมั่นคง บริษัทในวงการเทคโนโลยีด้านการสื่อสารก็ทยอยประกาศยุติความสัมพันธ์กับหัวเว่ย เริ่มจากกูเกิล ตามด้วยบริษัทผู้ให้บริการและค้ามือถือในอังกฤษ บริษัท อีอี โวดาโฟน และบริษัทเคดีดีไอ กับบริษัทวาย โมบายล์ จากญี่ปุ่น ชะลอการขายหัวเว่ยออกไป รวมถึงบริษัทพานาโซนิค และเออาร์เอ็ม ที่ประกาศระงับการทำธุรกรรมกับหัวเว่ย ทั้งยังมีข่าวว่าสหรัฐ กำลังล็อบบี้เกาหลีใต้อย่างหนัก ให้ร่วมวงภารกิจแบนหัวเว่ยด้วย
ประเมินกันว่า ผลกระทบระยะแรกๆ ที่หัวเว่ย จะเผชิญจากการประกาศยุติความสัมพันธ์ จากกูเกิลคือ ในอนาคตอันโกล้ หัวเว่ยจะไม่สามารถเข้าถึงบริการจีเมล กูเกิลแมพ หรือยูทูบได้ ส่วนในระยะยาวคือความยุ่งยากในการจัดหาชิพส่วนประกอบสำคัญในโทรศัพท์มือถือ
กับวิบากกรรมที่เกิดขึ้นครั้งนี้ มิสเตอร์เหริน เจี้งเฟย ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหารหัวเว่ยให้สัมภาษณ์สื่อจีน ซีซีทีวี ที่สื่อทั่วโลกนำมารายงานต่อว่า
“สิ่งที่นักการเมืองสหรัฐทำอยู่ สะท้อนให้เห็นว่า เขาประเมินความแข็งแกร่งของเราต่ำเกินไป”
บุรุษที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของหัวเว่ย ยังบอกด้วยว่า “เหตุการณ์ครั้งนี้จะไม่กระทบเทคโนโลยี 5 จีของบริษัท และจะไม่มีบริษัทใดตามเทคโนโลยี 5 จี ของหัวเว่ย ทันใน 2-3 ปีนี้”
มิสเตอร์เหรินคงไม่ได้พูดเกินจริง เพราะหากหัวเว่ยไม่มีทีเด็ด ประธานาธิบดีทรัมป์ คงไม่ให้เกียรติประเดิมประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินกับหัวเว่ยเป็นลำดับแรกแน่
หากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนอีกรอบ ราว 3 แสนล้านดอลลาร์ ในเดือนมิถุนายน และปฏิบัติการปิดล้อมหัวเว่ย ของสหรัฐขยายวงไปจนกลายเป็น สงครามเย็นทางเทคโนโลยี จะเป็นแรงกดดันให้หัวเว่ยเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง เช่นที่มีการวิเคราะห์กันหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับบรรยากาศการพบกันระหว่าง ประธานาธิบดีทรัมป์ กับประธานาธิบดีสี ระหว่างการประชุมกลุ่ม จี 20 ที่โอซากา ประเทศญี่ปุ่น ปลายเดือนมิถุนายนนี้ผลจะออกมาอย่างไร
หากมิสเตอร์อเมริกันเฟิร์สต์ ยังยึดกรอบการเจรจาแบบ ฉันชนะคุณแพ้ เหมือนเดิม และประธานาธิบดีสีตัดสินใจ เดินทางไกล หลังไปกล่าวปลุกจิตวิญญาณสหายร่วมชาติระหว่างเดินทางเยือน มณฑลเจียงซี ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้น การเดินทางไกลของกองทัพแดงเมื่อปี พ.ศ. 2477 ระยะทางกว่า 12,500 กิโลเมตร ใช้เวลา 370 วัน และได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า “..เรากำลังเตรียมการเริ่มต้นเดินทัพทางไกลครั้งใหม่และเราต้องเริ่มต้นกันอีกครั้ง”
หากท่าที 2 ผู้นำ ยืนในจุดตามที่กล่าวข้างต้น แนวโน้มศึกการค้าและเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐ กับจีน สรุปได้สั้นๆ ว่า ศึกนี้ใหญ่หลวงนัก