ท่ามกลางการจับตาโอกาสของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (อีวี) ในประเทศไทย ที่คาดการณ์ว่ามาแน่ เกิดแน่ เพราะเป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก และได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังในหลายประเทศ รวมถึงไทย
บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์–ซีพี จำกัด และบริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์ เอ็มจี ในประเทศไทย จึงได้จัดงานสัมมนาเรื่อง “EVolution of Automotive” ขึ้น โดยมีผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน มาร่วมสะท้อนมุมมองในเรื่องดังกล่าว
นายจาง ไห่โป กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงความมั่นใจที่บริษัทฯ มีต่อรถยนต์ระบบไฟฟ้า ว่า โอกาสสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้ากำลังมาถึงแล้ว เหมือนในกรณีของสมาร์ทโฟนที่มีเทคโนโลยีเข้ามาดิสรัป จนสามารถพลิกโฉมของวงการของโทรศัพท์จากหน้ามือเป็นหลังมือ ดังนั้น รถยนต์อีวีก็เช่นเดียวกัน
สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของเอ็มจี “MG ZS EV” ซึ่งเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของเอ็มจี ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100 % มีรูปลักษณ์โดดเด่นในแบบฉบับรถเอสยูวี พร้อมระบบการเชื่อมต่ออัจฉริยะ “i-SMART” จะนำเข้ามาทำตลาดในไทยประมาณเดือนมิถุนายนนี้ โดยจะร่วมมือกับบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ในการสร้างสถานีชาร์จให้ครอบคลุมและทั่วถึง
ในปี 2561 ที่ผ่านมาทั่วโลกมียอดจำหน่ายรถพลังงานไฟฟ้าสูงถึงกว่า 1.26 ล้านคัน หรือเพิ่มขึ้น 74 % จากปี 2560 นอกจากนี้คาดการณ์ว่าในปี 2563 จะมีรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกกว่า 20 ล้านคัน
นายศิริรุจ จุลกะรัตน์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงมีมาตรการการส่งเสริมให้คนไทยหันมาใช้พลังงานทดแทน ที่เห็นได้ชัด คือ พลังงานไฟฟ้าหรือแผนการพัฒนารถยนต์ระบบไฟฟ้า ซึ่งตั้งไว้ที่ 25% ของจำนวนรถในอีก 10 ปีข้างหน้า และภาครัฐได้มีการผลักดันความต้องการของตลาดในประเทศ และสิทธิประโยชน์ทั้งหลาย รวมถึงปัจจัยสำคัญต่างๆ ในการผลิตรถยนต์ อย่างชิ้นส่วนรถยนต์สนามทดสอบ ศูนย์ทดสอบแบตเตอรี่และอื่นๆ
สิ่งสำคัญคือ จะทำอย่างไรให้รถยนต์ระบบไฟฟ้าเป็นทางเลือกของผู้บริโภคมากขึ้นเป็น “Eco Electric Vehicle” ที่ประหยัด ปลอดภัยและคุ้มค่า และให้ประเทศไทยยังคงสถานะเป็นศูนย์การประกอบรถยนต์เน็กซ์ เจนเนอเรชั่นในยุคของรถพลังงานไฟฟ้า เพราะปัจจุบันประเทศไทยถือเป็นดีทรอยต์ของเอเชียในการประกอบรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย
ขณะที่ ดร. เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการ สายงานกิจการพิเศษ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สิ่งที่จำเป็นต้องทำเป็นอย่างยิ่ง คือ การวิจัยเพื่อพัฒนา และอัพเดทเทรนด์หรือกระแสในตลาด พร้อมทั้งพัฒนาคนให้มีองค์ความรู้พร้อมรับเทคโนโลยีดังกล่าว
นายอดิศักดิ์ โรหิตะศุน ผู้แทนผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ กล่าวถึงการพัฒนารถยนต์ระบบไฟฟ้าว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 2573 หรืออีก 10 ปีข้างหน้า รถยนต์อีวีจะมีอัตราการผลิตถึง 53% สิ่งที่ต้องเตรียมพร้อมคือ คน เพราะหุ่นยต์และระบบอัตโนมัติ จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยเพิ่มผลผลิตสู่ท้องตลาด จึงจำเป็นที่จะต้องต่อยอดการศึกษาเพื่อเพิ่มองค์ความรู้ใหม่แก่คนในเรื่องตัวรถยนต์ระบบไฟฟ้ารวมถึงกระบวนการการผลิตรถยนต์ระบบไฟฟ้า รวมถึงการพัฒนาทักษะที่เอไอทำไม่ได้
ดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนา ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันรถไฟฟ้ามีหลากหลายขนาดของความจุไฟฟ้า ดังนั้นในฐานะผู้ขับขี่ต้องคำนึงถึงลักษณะการใช้งานเป็นสำคัญ
ขณะที่ผู้ประกอบการรถยนต์ควรพัฒนารถยนต์ที่มีขนาดแบตเตอรี่ใหญ่เพื่อรองรับความต้องการของตลาด รวมทั้งประสิทธิภาพในการวิ่งของรถยนต์ ที่ต้องสามารถวิ่งได้เป็นระยะทางอย่างน้อย 200-300 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง ตลอดจนอะไหล่ชิ้นส่วนเพื่อประกอบรถยนต์ และสำหรับซ่อมบำรุงในอนาคตด้วย
ขณะที่นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ EA กล่าวว่า EA มอบให้บริษัท พลังงานมหานคร จำกัด เป็นผู้พัฒนาและก่อสร้างสถานีประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า โดยวางเป้าหมายติดตั้งสถานีชาร์จให้ครบ 1,000 สถานีครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ปัจจุบันได้ติดตั้งไปแล้วประมาณ 200 สถานี ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญบางจังหวัด
นายผู่ จินฮวน หัวหน้าวิศวกร แผนกรถพลังงานไฟฟ้า จาก Shanghai E-Propulsion Auto Technology Co., Ltd (SAIC) เล่าถึงภาพรวมและการพัฒนาด้านเทคโนโลยีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของ SAIC ว่า ปัจจุบัน SAIC จำหน่ายรถยนต์อยู่อันดับ 7 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ของจีน
ตลอดระยะเวลา 10 ปี SAIC เปิดตัวรถยนต์อีวีไปแล้วถึง 11 รุ่น และในปีนี้เตรียมเปิดตัวรถอีวีโฉมใหม่อย่าง ZS EV พร้อมๆ กันใน 20 ประเทศทั่วโลก ปัจจุบัน SAIC มียอดขายรถอีวีสะสมมากกว่า 200,000 คัน
