เปิดเอกสารดำเนินงานเน็ตชายขอบวงเงิน1.36หมื่นล้าน พบทีโอทีผลงานเป็น0% กสทช. เตรียมเรียกค่าปรับรายวันส่งงานล่าช้า ขณะทรู อินเทอร์เน็ตและอินเตอร์ลิ้งค์ มีความคืบหน้าดีกว่า
รายงานจากที่ประชุมคณะกรรมการโครงการจัดให้มีสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่และบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ชายขอบ (Zone C+) หรือโครงการเน็ตชายขอบ วงเงิน 1.36 หมื่นล้านบาท มีพล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน ซึ่งที่ประชุมได้รายงานความคืบหน้าโครงการ ซึ่งได้กำหนดระยะเวลาติดตั้ง 1 ปี และให้บริการ 5 ปี มี 2 บริการ ได้แก่
ส่วนที่ 1 การจัดให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (Broadband Service) และส่วนที่ 2 การจัดให้มีสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Service)
โครงการเน็ตชายขอบ ได้ผ่านกระบวนการประกวดราคาในราคาสุดท้าย 1.29 หมื่นล้านบาท ลดลงจากมูลค่าโครงการที่ตั้งไว้ 624 ล้านบาท หรือลดลง 4.59% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด
โครงการเน็ตชายขอบ แบ่งตามพื้นที่และประเภทบริการได้ทั้งสิ้น 10 สัญญาบริการ โดยมีผู้ให้บริการ ผู้ชนะการประกวดราคา ดังนี้
การจัดให้มีบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 5 สัญญาบริการ
- ภาคเหนือตอนบน โดย ทรู อินเทอร์เน็ต คอร์ปอเรชั่น
- ภาคเหนือตอนล่าง โดย ทีโอที
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดย ทีโอที
- ภาคกลาง-ใต้ โดน อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม
- จังหวัดชายแดนภาคใต้ (3 จังหวัด 5 อำเภอ) โดย อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม
โดยทุกสัญญามีกำหนดการส่งมอบงานระยะที่ 1 จำนวน 3 งวด
งวดที่ 1 ต้องส่งมอบงานภายใน 150 วัน นับถัดจากวันลงนามในสัญญา (วันที่ 25 มีนาคม 2561)
งวดที่ 2 ต้องส่งมอบงานภายใน 240 วัน นับถัดจากวันลงนามในสัญญา
งวดที่ 3 ต้องส่งมอบงานภายใน 364 วัน นับถัดจากวันลงนามในสัญญา
การจัดให้มีสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ จำนวน 5 สัญญาบริการ
- ภาคเหนือตอนบน โดย ทีโอที
- ภาคเหนือตอนล่าง โดย ทรูมูฟเอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดย ทรูมูฟเอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น
- ภาคกลาง-ใต้ โดย กสท โทรคมนาคม
- จังหวัดชายแดนภาคใต้ (3 จังหวัด 4 อำเภอ) โดย กสท โทรคมนาคม
ทั้งนี้ ทุกสัญญามีกำหนดการส่งมอบงานระยะที่ 1 จำนวน 2 งวด โดยงวดที่ 1 ต้องส่งมอบงานภายใน 180 วัน นับถัดจากวันลงนามในสัญญา (วันที่ 27 เมษายน 2561) งวดที่ 2 ต้องส่งมอบงานภายใน 365 วันนับถัดจากวันลงนามในสัญญา
โครงการเน็ตชายขอบ ได้ลงนามสัญญาเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2560 โดยมีกำหนดแล้วเสร็จสามารถเปิดให้บริการได้อย่างครบถ้วนทุกพื้นที่ทั่วประเทศภายใน 365 วัน หรือในวันที่ 27 กันยายน 2561
ทั้งนี้ในส่วนของความก้าวหน้าในการดำเนินงาน การจัดให้มีบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ทางทรู อินเทอร์เน็ต คอร์ปอเรชั่น และ อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม ได้ส่งมอบงานงวดที่ 1 ตามสัญญาและสอดคล้องกับแผนงานที่เสนอไว้ ซึ่งคณะกรรมการตรวจรับฯ ของสำนักงาน กสทช.ได้ดำเนินการตรวจรับมอบงานงวดที่ 1 ของทั้ง 2 บริษัทไว้แล้ว
ทั้งนี้ มีเพียง ทีโอที ที่ยังไม่สามารถดำเนินการตามแผน และยังไม่สามารถส่งมอบงานงวดที่ 1 ได้ตามแผน
อย่างไรก็ดี คณะกรรมการตรวจรับฯ ได้กำชับชี้แจงกับคู่สัญญาทุกรายว่า การส่งมอบงานล่าช้า โดยไม่มีเหตุสมควรตามกฎหมายจะไม่สามารถยกเว้นเงินค่าปรับตามสัญญาได้ และกำชับให้ ทีโอที เร่งดำเนินการตามสัญญาโดยเร็ว
ตามเอกสารผู้บริหารทีโอที ชี้แจงว่า “แม้งานงวดอื่นๆ อาจล่าช้าไปจากแผนบ้าง แต่กำหนดส่งมอบงานในส่วนของการก่อสร้างและติดตั้งอุปกรณ์สำหรับการบริการจะสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ภายในกำหนดที่รัฐบาลกำหนดไว้”
ทั้งนี้จากการพิจารณาความสำเร็จของการดำเนินงานตามสัญญาดังนี้
กลุ่มที่ 1 ภาคเหนือตอนบน โดย ทรู อินเทอร์เน็ต คอร์ปอเรชั่น มีความก้าวหน้า 28%
กลุ่มที่ 2 ภาคเหนือตอนล่าง โดย ทีโอที มีความก้าวหน้า 0%
กลุ่มที่ 3 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดย ทีโอที มีความก้าวหน้า 0%
กลุ่มที่ 4 ภาคกลาง-ใต้ โดย อินเตอร์ลิ้ง เทเลคอม มีความก้าวหน้า 46%
กลุ่มที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (3 จังหวัด 4 อำเภอ) โดย อินเตอร์ลิ้ง เทเลคอม มีความก้าวหน้า 38%
ทั้งนี้ในภาพรวมแล้วความก้าวหน้า 17% กรณีไม่นับรวม ทีโอที อยู่ที่ 34%
ทีโอทีงามหน้าส่งมอบงานงวดที่1ไม่ได้
สำหรับการจัดให้มีสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ ทรูมูฟเอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น และ กสท โทรคมนาคม ได้ส่งมอบงานงวดที่ 1 ตามสัญญาและสอดคล้องกับแผนงานที่เสนอไว้ ซึ่งคณะกรรมการตรวจรับฯ ของสำนักงาน กสทช. อยู่ระหว่างพิจารณาตรวจรับมอบงานงวดที่ 1 ของทั้ง 2 บริษัท
“มีเพียง ทีโอที ที่ยังไม่สามารถดำเนินการตามแผน และยังไม่สามารถส่งมอบงานงวดที่ 1 ได้ตามแผน”
อย่างไรก็ดี คณะกรรมการตรวจรับฯ ได้ชี้แจ้งว่าการส่งมอบงานล่าช้า โดยไม่มีเหตุสมควรตามกฎหมายจะไม่สามารถยกเว้นเงินค่าปรับตามสัญญาได้และยังกำชับให้ ทีโอที เร่งดำเนินการตามสัญญาโดยเร็ว โดยผู้บริหารของ ทีโอที ชี้แจงว่าแม้งานงวดอื่นๆ อาจล่าช้าไปจากแผนงานบ้าง แต่กำหนดส่งมอบงานในส่วนของการก่อสร้างและติดตั้งอุปกรณ์สำหรับการบริการจะสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ภายในกำหนดที่รัฐกำหนดไว้
เปิดความพร้อมให้บริการทีโอทีมี0%
ส่วนความสำเร็จของการดำเนินงานตามสัญญาดังนี้
กลุ่มที่ 1 ภาคเหนือตอนบน โดย ทีโอที มีความพร้อมให้บริการ 0%
กลุ่มที่ 2 ภาคเหนือตอนล่าง โดย ทรูทูฟเอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น มีความพร้อมให้บริการ 69%
กลุ่มที่ 3 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดย ทรูทูฟเอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น มีความพร้อมให้บริการ 81%
กลุ่มที่ 4 ภาคกลาง-ใต้ โดย กสท โทรคมนาคม มีความพร้อมให้บริการ 37%
กลุ่มที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (3 จังหวัด 4 อำเภอ) กสท โทรคมนาคม มีความพร้อมให้บริการ 44%
อย่างไรก็ตาม ในภาพรวม ความพร้อมให้บริการ 40% กรณีไม่นับรวม ทีโอที 64%
นอกจากนี้ เอกสารยังระบุว่าระดับความสำเร็จของสัญญาการจัดให้มีสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่สำหรับพื้นที่ส่วนหนึ่ง จะต้องใช้โครงข่ายใยแก้วนำแสงจากสัญญาการจัดให้มีบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ดังนั้นบางพื้นที่ หาการวางโครงข่ายใยแก้วนำแสงยังไม่สำเร็จลุล่วง อาจส่งผลกระทบให้คู่สัญญาการจัดให้มีสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ ไม่สามารถเริ่มปล่อยสัญญาณ เพื่อให้บริการแก่ประชาชนได้ และอาจส่งผลต่อภาพรวมความสำเร็จโครงการทั้งหมด
กสทช. เรียกค่าปรับรายวันส่งงานล่าช้า
อย่าไรก็ตาม ความล่าช้าในการส่งมอบงานของ ทีโอที ส่งผลให้สำนักงาน กสทช. จะต้องคิดค่าปรับจากการส่งมอบงานล่าช้าเป็นรายวัน ตามงวดที่มีการส่งมอบล่าช้า
ดังนั้นหากการดำเนินงานดังกล่าวมีความล่าช้าออกเป็นระยะเวลานานกว่าจะยิ่งเป็นความเสียหาย ทำให้ยอดค่าปรับจากการส่งมอบงานล่าช้าสูงขึ้น อีกทั้งประชาชนในพื้นที่เป้าหมายมีความเสี่ยงที่จะได้รับบริการโทรคมนาคมล่าช้าออกไปจากกำหนดที่เป็นเป้าหมายของรัฐบาล
กสทช.จัดประกวดราคาเน็ตชายขอบ
นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ( กสทช.) กล่าวว่า วันนี้ (30 พฤษภาคม 2561) ที่ประชุม กสทช. ได้พิจารณาการจัดให้มีบริการโทรคมนาคมพื้นฐานในพื้นที่ห่างไกล (Zone C) จำนวน 15,732 หมู่บ้าน โดยก่อนหน้านี้ มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมอบหมายให้สำนักงาน กสทช. เป็นผู้ดำเนินการ ส่วนที่ประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (คณะกรรมการ ดีอี) ได้มอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กระทรวง ดีอี) เป็นผู้ดำเนินการ และกระทรวง ดีอี ได้แสดงความประสงค์ที่จะเป็นผู้ดำเนินการจัดให้มีบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมพื้นที่ Zone C ที่เหลือจำนวน 15,732 หมู่บ้าน แทนสำนักงาน กสทช. โดยจะมอบหมายให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินการต่อเนื่องในลักษณะเบิกจ่ายเงินงบประมาณแทนกันนั้น
จนถึงบัดนี้พบว่าระยะเวลาได้ล่วงเลยมาเป็นเวลากว่า 3 เดือนแล้ว (ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561) ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานให้ไม่เป็นไปตามแผนการจัดให้มีบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2560-2564) ที่ได้ประกาศและมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม 2560 อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อค่าธรรมเนียม USO ที่ได้จัดเก็บมาจากผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมทุกรายแล้วแต่ไม่ได้นำออกไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อภาคโทรคมนาคมของประเทศไทย
“ประธาน กสทช. มีข้อกังวลว่า การรอมติคณะรัฐมนตรีและชะลอแผนการประกวดราคาอาจทำให้การขยายโครงข่ายทั่วประเทศตามนโยบายรัฐบาลไม่แล้วเสร็จตามกำหนดภายในเดือน ธันวาคมนี้ จึงควรขอความชัดเจนจากรัฐบาล”
ทั้งนี้ ที่ประชุม กสทช. พิจารณาแล้วจึงได้มีมติเห็นชอบให้สำนักงาน กสทช. ดำเนินการประกวดราคาโครงการจัดให้มีบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ห่างไกล (Zone C) จำนวน 15,732 หมู่บ้าน ไปพลางก่อน โดยหากคณะรัฐมนตรีได้มีมติมอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กระทรวง ดีอี) ดำเนินการจัดให้มีบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพิ่มเติมในพื้นที่ Zone C แทนสำนักงาน กสทช. สำนักงานฯ จะขอยกเลิกการประกวดราคาดังกล่าวต่อไป
พร้อมกับนี้ที่ประชุมยังได้เห็นชอบให้สำนักงาน กสทช. ใช้ขอบเขตของงาน (Term of Reference) โครงการจัดให้มีบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ห่างไกล (Zone C) ตามรูปแบบที่ 3 คือจัดให้มีบริการครบทั้ง 5 บริการ ได้แก่ 1.Wi-Fi สาธารณะประจำหมู่บ้าน 15,732 จุด 2.บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ณ โรงเรียน จำนวน 3,170 แห่ง 3.บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ณ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล (รพ.สต.) จำนวน 91 แห่ง 4.ศูนย์บริการอินเทอร์เน็ตสาธารณะ (USO Net) จำนวน 228 แห่ง และ5.ห้องบริการอินเทอร์เน็ตประจำโรงเรียน (USO Wrap) 1,623 ห้อง โดยจะเป็นการให้บริการต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 5 ปี ภายในวงเงินรวม 18,394.93 ล้านบาท