พม.-สธ.-มท. จับมือ เดินหน้า “โครงการเงินอุดหนุน เพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด” พร้อมขยายผลโครงการ ด้วยการพัฒนาเด็กให้เป็นคนดี เก่ง และเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพของประเทศ
ภายหลังจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2562 มีมติให้สนับสนุนเงินอุดหนุน เพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดตั้งแต่ 0 – 6 ปี จากฐานรายได้เดิม 36,000 บาท ขยายเป็นไม่เกิน 100,000 บาท ต่อคนต่อปี โดยเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2562 จะมีการเปิดรับลงทะเบียนในวันที่ 31 พฤษภาคม 2562 เป็นต้นไป คาดว่าเมื่อสิ้นปีงบประมาณ 2562 จะมีเด็กได้รับสิทธิประมาณ 1,500,000 คน
โดยเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2562 ที่ผ่านมา กระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงมหาดไทยได้จับมือเดินหน้า ” โครงการเงินอุดหนุน เพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ”
นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดพม. ในฐานะเจ้าภาพของโครงการ ระบุว่า รัฐบาลเห็นถึงความสำคัญของการมีพัฒนาการที่สมวัยของเด็กแรกเกิด จึงได้สร้างระบบคุ้มครองทางสังคม ด้วยการจัดสวัสดิการเงินอุดหนุน ให้กับเด็กแรกเกิดในครัวเรือนยากจน หรือเสี่ยงต่อความยากจน
ทั่งนี้เพื่อเป็นมาตรการให้บิดา มารดา นำเด็กเข้าสู่ระบบบริการของรัฐ และได้รับการดูแลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีตามยุทธศาสตร์การพัฒนาและส่งเสริมสร้างศักยภาพคนของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ยุทธศาสตร์การเสริมสร้าง และพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 – 2564) และแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติฉบับที่1 (พ.ศ. 2555 – 2559) และฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2560 – 2564)
อันจะเป็นหลักประกันให้เด็กได้รับสิทธิด้านการอยู่รอด และการพัฒนาตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก มีวัตถุประสงค์เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม มุ่งให้ประเทศมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน และสอดรับกับทิศทางกระแสโลกเรื่องเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) และ “การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” (Leave No One Behind) โดยรัฐเน้นย้ำการประกันสิทธิแก่เด็กแต่ละคนโดยปราศจากการเลือกปฏิบัติ และยกระดับคุณภาพชีวิตของเด็กทุกคนให้เสมอภาค
สำหรับวิธีปฏิบัติในการให้เงินอุดหนุนดังกล่าง ทางพม.โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ได้กำหนดแผนการดำเนินโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดไว้ ดังนี้
- ระยะที่ 1 ให้กับเด็กที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2558 –30 กันยายน 2559 รายละ 400 บาท เป็นระยะเวลา 1 ปี
- ระยะที่ 2 ระหว่างปี 2560 –2561 เพิ่มวงเงินจาก 400 บาท เป็น 600 บาทต่อคน และขยายระยะเวลาเพิ่มจาก 1 ปี เป็น 3 ปี
- ระยะที่ 3 ปี 2562 สนับสนุนเงินอุดหนุน เพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดตั้งแต่ 0 – 6 ปี จากฐานรายได้เดิม 36,000 บาท ขยายเป็นไม่เกิน 100,000 บาท ต่อคนต่อปี โดยเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2562
โดยระยะที่ 3 นี้ มีเด็กได้รับสิทธิแบ่งออกเป็น 3 กรณี ได้แก่
- เด็กที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2558 – 30 กันยายน 2561 และเป็นผู้ที่ได้รับสิทธิรายเดิมจะได้รับเงินต่อเนื่องจนอายุครบ 6 ปี บริบูรณ์
- เด็กที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2558 – 30 กันยายน 2561 ที่มีคุณสมบัติครบ แต่ไม่เคยได้รับสิทธิมาก่อนให้ไปลงทะเบียนที่ท้องถิ่น
- เด็กที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 – 30 กันยายน 2562
กรณีมาลงทะเบียนในปีงบประมาณ 2562 จะได้รับสิทธิ นับจากวันที่เด็กเกิดจนถึงอายุครบ 6 ปีบริบูรณ์ แต่หากลงทะเบียนหลังจากวันที่ 30 กันยายน 2562 ไปแล้ว จะได้รับเงินนับจากวันที่ลงทะเบียนเป็นต้นไป จนถึงอายุครบ 6 ปีบริบูรณ์
นายปรเมธี กล่าวว่า เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวสอดคล้องกับกฎระเบียบ ทางดย. ได้ปรับปรุงระเบียบกรมกิจการเด็กและเยาวชน ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด พ.ศ. 2562 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 ให้สอดรับกับมติคณะรัฐมนตรีฯ
พร้อมทั้งพัฒนาระบบฐานข้อมูลโครงการเงินอุดหนุน เพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ให้รองรับกับปริมาณงาน ที่เพิ่มขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2562 ซึ่งปัจจุบันมีผู้มีสิทธิจำนวน 600,000 คน และคาดว่าเมื่อสิ้นปีงบประมาณ 2562 จะมีเด็กได้รับสิทธิประมาณ 1,500,000 คน
รวมทั้งพัฒนาให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) นำเข้าข้อมูลแบบสมบูรณ์ เพื่อให้อปท.สามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้ยื่นคำร้องของรับเงินอุดหนุน การตรวจสอบสถานะของผู้มีสิทธิของกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ ในฐานะเจ้าของข้อมูล เพื่อติดตามความก้าวหน้าของกลุ่มเป้าหมาย และพัฒนาให้ผู้ยื่นคำร้องขอรับสิทธิสามารถตรวจสอบสิทธิได้ด้วยตนเอง
ทั้งนี้ พม. จะเปิดให้ผู้มีสิทธิได้ยื่นคำร้องขอรับสิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม ถึง 31 กรกฎาคม 2562 โดยผู้มีสิทธิที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร สามารถลงทะเบียนยื่นคำร้อง ได้ที่สำนักงานเขต กรุงเทพมหานคร และผู้ที่อาศัยอยู่ ในส่วนภูมิภาค ให้ยื่นคำร้องได้ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เด็กอาศัยอยู่
โดยสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ปฏิบัติการโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด โทร 0 2255 5850-7 ต่อ 121,122,123 ,147 และ 0 2651 6534 โทรสาร 0 2253 9119 หรือติดตามที่ Facebook โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด” นายปรเมธี กล่าวในตอนท้าย
พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า การพัฒนาเด็กให้เป็นคนดี เก่งและเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพของประเทศไทย จะต้องเริ่มพัฒนาตั้งแต่ช่วงปฏิสนธิในครรภ์จนอายุ 6 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่สมอง มีการพัฒนาสูงสุด และยังเป็นรากฐานของการมีคุณภาพของคนๆ หนึ่งอย่างต่อเนื่องไปตลอดชีวิต
โครงการเงินอุดหนุน เพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด จึงเป็นโครงการที่ตอบสนองต่อการสร้างต้นทุนชีวิตให้กับเด็กที่มั่นคง ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุข ได้ดำเนินงานด้านการดูแล และปกป้องสุขภาพมารดา และเด็กปฐมวัย โดยสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและวางแนวทางดำเนินงานตามโครงการมหัศจรรย์ 1,000 วันแรกของชีวิต ในแต่ละช่วงเวลาของการตั้งครรภ์จนถึงการคลอด เริ่มตั้งแต่
- แม่ก่อนการตั้งครรภ์ จะได้รับวิตามินเสริมธาตุเหล็ก และโฟลิก ก่อนการตั้งครรภ์ 3 เดือน ฟรี เพื่อป้องกันความพิการแต่กำเนิดของลูก
- เมื่อตั้งครรภ์ จะได้รับการตรวจครรภ์ทุกที่ ฟรีทุกสิทธิ์ ได้รับวิตามินเสริมธาตุเหล็ก ไอโอดีน โฟลิกฟรี จนถึง 6 เดือนหลังคลอด
- เมื่อทารกคลอดได้กินนมแม่ในห้องคลอด
- สนับสนุนให้กินนมแม่ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ควบคู่อาหารตามวัย
- เด็กได้รับวัคซีนสร้างภูมิต้านทานโรค
- การประเมินภาวะโภชนาการ และการเลือกเมนูอาหารตามวัยของลูกในสมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็ก
- การตรวจพัฒนาการตามวัย
- การตรวจสุขภาพ
- การรักษาพยาบาลเมื่อยามเจ็บป่วย
ขณะเดียวกันกระทรวงสาธารณสุข ได้ส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ การเจริญเติบโต และการส่งเสริมพัฒนาการเด็กในสถานบริการสาธารณสุข โดยมารดาช่วงตั้งครรภ์จะได้รับ สมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็ก เพื่อดูแลสุขภาพตนเอง และลูกควบคู่กับการได้รับความรู้ ฝึกทักษะการเลี้ยงดูลูกตามกระบวนการโรงเรียนพ่อแม่
โดยให้ความรู้แก่แม่หรือผู้เลี้ยงดูให้ดูแลสุขภาพ โภชนาการ ดูแลสุขภาพช่องปาก และส่งเสริมพัฒนาการตามกระบวนการ กิน กอด เล่นเล่า นอน เฝ้าดูฟัน และพ่อแม่ ผู้เลี้ยงดูเด็กจะได้รับความรู้ตรงจากโปรแกรม ๙ ย่างเพื่อสร้างลูก เมื่อเด็กอายุ 3-5 ปี เป็นช่วงสมองส่วนบริหารพัฒนาสูงสุด ซึ่งเด็กส่วนใหญ่จะอยู่ในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย และโรงเรียนระดับชั้นอนุบาล
ทั้งนี้กรมอนามัย ได้ผลิตคู่มือการเรียนการสอน ด้านสุขภาพตาม “คำสอนพ่อ” เพื่อให้คุณครู ใช้เป็นคู่มือการจัดประสบการณ์เรียนรู้แบบ STEM EDUCATION บูรณาการเนื้อหา สุขภาพ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์ ให้เด็กเรียนรู้ด้วยตนเองแบบ Project approach ด้วยการลงมือทำปฏิบัติจริง นำความรู้ สู่ความคิดสร้างสรรค์ คิดเชิงวิพากษ์ การสื่อสารและสร้างนวัตกรรม อีกทั้งผลิตคู่มือต้นแบบ “เลี้ยงลูกตามคำสอนของพ่อ” คุณธรรม 8 ประการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ให้ครอบครัวได้ใช้ในการอบรม บ่มเพาะลูก
นอกจากนี้ได้ขับเคลื่อนมาตรการทางกฎหมายตามพระราชบัญญัติควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ.2560 เพื่อส่งเสริม สนับสนุน ปกป้องให้เด็กรับนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือน และกินนมแม่ควบคู่อาหารตามวัยจนลูกอายุ 2 ปี
และมีการติดตามเด็กในโครงการฯ โดยใช้สมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็ก เพื่อตรวจสอบการเข้ารับบริการด้านสุขภาพ ดังนี้
1) มารดาช่วงตั้งครรภ์ ฝากครรภ์ตามนัดหรือไม่
2) มีการบันทึกน้ำหนัก ส่วนสูงและจุดกราฟโภชนาการและประเมินพัฒนาการลูกหรือไม่
3) มีการพาลูกไปตรวจสุขภาพ ตรวจพัฒนาการ ฉีดวัคซินตามนัดหรือไม่
4) ได้ใช้สมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็กอ่านและบันทึก การดูแลสุขภาพของแม่และลูกตามแนวทางการเลี้ยงดูเด็กตามวัยอย่างเหมาะสมหรือไม่
“การดำเนินโครงการดังกล่าว ก็เพื่อให้เด็กทุกคนได้รับการติดตามอย่างต่อเนื่อง และเติบโตเป็นเด็กไทยที่ดี เก่ง และเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพของประเทศ ”