Business

อ่วม!! ปิดฉากค่าโง่คมนาคม-รฟท.จ่าย ‘โฮปเวลล์’ 1.2 หมื่นล้าน

คมนาคม-รฟท. “อ่วม”ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาสั่งจ่ายค่าโง่โฮปเวลล์ 1 .2 หมื่นล้าน ชดเชยบอกเลิกสัญญาตามคำชี้ขาดอนุญาโตตุลา
การ ปิดฉากคดีค่าโง่ หลังยืดเยื้อกว่า 15 ปี  

ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษากลับ คำพิพากษาศาลปกครองกลาง เป็นยกคำร้อง ที่มีผลให้กระทรวงคมนาคม การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ต้องปฏิบัติตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2551 โดย รฟท.ต้องคืนเงินชดเชยให้กับบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด จากการบอกเลิกสัญญารวมเป็นเงิน 11,888.75 ล้านบาท ประกอบด้วยเงินค่าก่อสร้าง 9,000 ล้านบาท เงินค่าตอบแทนจากการใช้ประโยชน์ที่ดินที่บริษัทชำระไปแล้ว 2,850 ล้านบาท และเงินค่าออกหนังสือค้ำประกัน 38,749,800 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี และคืนหนังสือค้ำประกันมูลค่า 500 ล้านบาท โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 180 วันนับจากคดีถึงที่สุด

ศาลปกครอง 2

โดยศาลให้เหตุผลว่า คดีนี้มีประเด็นต้องวินิจฉัย 3 ประเด็น

ประเด็นที่ 1.การยอมรับหรือบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการดังกล่าว จะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่ ประเด็นนี้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ก่อนที่บริษัทโฮปเวลล์ จะยื่นคำเสนอข้อพิพาท ได้ทำหนังสือขอให้กระทรวงคมนาคม และรฟท. ระงับข้อพิพาทโดยการเจรจาประนีประนอมยอมความให้เสร็จภายใน 60 วัน

กระทรวงคมนาคมและ รฟท.ได้รับหนังสือแล้ว แต่เพิกเฉยไม่พยายามเจรจา บริษัทโฮปเวลล์ จึงมีสิทธิยื่นคำเสนอข้อพิพาท ให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดได้ และเมื่อพิจารณาคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในประเด็นดังกล่าวแล้ว เห็นว่า การพิจารณาของอนุญาโตตุลาการเป็นไปตามเงื่อนไขสัญญาสัมปทานข้อ 31.1 ระบุว่า เมื่อมีข้อพิพาทเกิดขึ้นเกี่ยวกับสัญญาคู่สัญญาจะต้องมีการประนีประนอมระงับข้อพิพาทนั้นก่อน หากภายในระยะเวลา 60 วัน ไม่สามารถประนีประนอมระงับข้อพิพาทได้ ให้นำข้อพิพาทเสนออนุญาโตตุลาการชี้ขาดได้ดังนั้นคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในส่วนนี้ จึงไม่ปรากฏเหตุที่จะทำให้เป็นคำชี้ขาดที่ฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน แต่อย่างใด

ประเด็นที่ 2 สิทธิเสนอให้ระงับข้อพิพาท โดยวิธีอนุญาโตตุลาการของกระทรวงคมนาคม และ รฟท. พ้นกำหนดระยะเวลาตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ข้อตกลงระงับข้อพิพาทระหว่างปกระทรวงคมนาคม รฟท.และบริษัทโฮปเวลล์ เป็นสัญญาทางแพ่งชนิดหนึ่งที่มีพ้นบังคับกันได้ และไม่ได้มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ ดังนั้นสิทธิเรียกร้องตามสัญญาสัมปทานจึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม.193/30

ทั้งนี้ ข้อพิพาทตามสัญญาสัมปทานเกิดขึ้นนับแต่วันที่กระทรวงคมนาคมและรฟท.มีหนังสือบอกสัญญากับบริษัทโฮปเวลล์ ลงวันที่ 27 มกราคม 2541 ซึ่งบริษัทโฮปเวลล์เสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2547 ยังไม่ครบ 10 ปี จึงยังคงใช้สิทธิเรียกร้องได้ การที่กระทรวงคมนาคมและ รฟท.อ้างว่า บริษัทโฮปเวลล์ไม่อาจเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดได้ เพราะเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องเกิน 1 ปี ตาม ม.51 พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาศาลปกครอง พ.ศ. 2542 และคณะอนุญาโตตุลาการเห็นว่า ไม่อาจนำระยะเวลาตามบทบัญญํติดังกล่าวมาบังคับใช้กับการใช้สิทธิเรียกร้องที่จะเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการได้ เนื่องจากเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมายคนละฉบับนั้น

โฮป1

ศาลเห็นว่า เมื่อพิจารณาคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในประเด็นนี้แล้ว แม้คำชี้ขาดได้อ้างเหตุทางข้อกฎหมายเกี่ยวกับลักษณะของสัญญาและอายุความแตกต่างไปจากที่ศาลปกครองสูงสุดได้เคยวินิจฉัยไว้แล้วก็ตาม แต่เมื่อเป็นคำชี้ขาดที่ให้ผลว่า ข้อพิพาทที่เสนอเป็นข้อพิพาทที่รับไว้พิจารณาได้ อันเป็นผลตรงกับที่ศาลปกครองสูงสุดได้เคยวินิจฉัยไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นคำชี้ขาดในประเด็นนี้จึงไม่ปรากฏเหตุบกพร่องถึงขนาดทำให้เป็นคำชี้ขาดที่ฝ่าฝืนต่อตัวบทกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน อีกเช่นกัน

ประเด็นที่ 3 คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่มีการกำหนดประเด็นว่า สัญญาสัมปทานเลิกกันไปโดยปริยายหรือโดยข้อกฎหมายหรือไม่ และกระทรวงคมนาคม รฟท.และบริษัทโฮปเวลล์จะกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม.391 หรือไม่เพียงใดนั้น เห็นว่า คดีนี้สัญญาพิพาทมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน การแจ้งยกเลิกสัญญาโดยฝ่ายปกครองแต่เพียงฝ่ายเดียวจึงยังไม่มีผลทางกฎหมายให้สัญญาเป็นอันเลิกกันในทันที

อย่างไรก็ตาม มีข้อเท็จจริงปรากฏว่า กระทรวงคมนาคม และ รฟท. ได้มีหนังสือแจ้งมติ ครม.ที่บอกเลิกสัญญาต่อบริษัทโฮปเวลล์ และได้มีหนังสือแจ้งยืนยันเจตนาที่ไม่ประสงค์จะมีข้อผูกพันตามสัญญาอีกต่อไป ถือเป็นกรณีที่ได้แสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาอย่างชัดแจ้งแล้ว และต่อมาบริษัทโฮปเวลล์ได้ยินยอมย้ายคนและเครื่องมือออกจากพื้นที่สัมปทานและไม่ได้เข้าไปดำเนินการใดๆ ในพื้นที่ดังกล่าวอีก อันเป็นการแสดงออกถึงการตกลงให้สัญญาเป็นอันเลิกกัน

เมื่อสัญญาเป็นอันเลิกกันแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะที่เป็นอยู่เดิม เทียบเคียงหลักการให้กลับคืนสู่ฐานะเดิม กรณีที่มีการบอกเลิกสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม.391 คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่เห็นว่าสัญญาเป็นอันเลิกกันและให้คู่สัญญาคืนสู่ฐานะเดิมดังที่เป็นอยู่เดิมจึงไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน แต่อย่างใด

Capture22

สำหรับคำชี้ขาดในส่วนที่กำหนดให้กระทรวงคมนาคมและ รฟท.ต้องดำเนินการให้บริษัทโฮปเวลล์กลับคืนสู่ฐานะที่เป็นอยู่เดิมนั้น ศาลเห็นว่า เมื่อพิจารณารายละเอียดในประเด็นข้อโต้แย้งต่างๆของกระทรวงคมนาคม และ รฟท.ที่อ้างเป็นเหตุให้ศาลเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนั้น ล้วนแต่เป็นการโต้แย้งดุลพินิจการพิจารณาข้อเท็จจริงและการปรับใช้กฎหมาย ข้อสัญญาของอนุญาโตตุลาการ ซึ่งคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในประเด็นต่างๆดังกล่าว เป็นการวินิจฉัยว่า คู่สัญญาฝ่ายใดปฏิบัติตามสัญญาโดยถูกต้องแล้วหรือไม่ อย่างไร และคู่สัญญาแต่ละฝ่ายมีความรับผิดต่อกันหรือไม่อย่างไร เป็นเรื่องระหว่างคู่สัญญาเท่านั้น ไม่ได้มีลักษณะเป็นเรื่องเกี่ยวดัวยความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน แต่อย่างใด จึงไม่ปรากฏเหตุให้อำนาจศาลปกครองเพิกถอนคำชี้ขาดในส่วนนี้ได้เช่นกัน จึงพิพากษากลับคำ

พิพากษาศาลปกครองกลาง เป็นยกคำร้องและให้บังคับตามคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการ โดยให้ กระทรวงคมนาคมและรฟท. ปฏิบัติตามคำชี้ขาดดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน นับแต่คดีถึงที่สุด และให้คืนค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์จำนวน 16,535,504 บาท ให้แก่บริษัทโฮปเวลล์

สำหรับคดีนี้ ภายหลังกระทรวงคมนาคม และ รฟท.บอกเลิกสัญญาสัมปทาน บริษัทโฮปเวลล์ได้ยื่นข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2547 และเมื่ออนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดให้ให้ รฟท.ต้อจ่ายคืนเงินชดใช้ค่าบอกเลิกสัญญาให้กับบริษัทโฮปเวลล์ คู่กรณีทั้งสองฝ่ายต่างมีการยื่นฟ้องกันเองต่อศาลปกครองกลาง ต่อมาศาลปกครองกลางมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2557 เพิกถอนคำชี้ขาดดังกล่าว

สุดท้ายศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา กลับคำพิพากษาดังกล่าว ถือเป็นคดีที่ยาวนานมากว่า 15 ปี นับตั้งแต่มีการฟ้องร้องกัน

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight