การที่กูเกิล เฟซบุ๊ค และบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่รายอื่นๆ เล็งที่จะหาเครื่องมือมารองรับความต้องการแบนด์วิธในเอเชียที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้ราวครึ่งหนึ่งของการวางสายเคเบิลใต้ทะเลใหม่ช่วง 3 ปีข้างหน้า จะเชื่อมต่อกับเอเชีย
เว็บไซต์นิกเออิ เอเชียน รีวิว รายงานว่า ปัจจุบัน กูเกิล ยักษ์ใหญ่ด้านเสิร์ชเอนจิ้น มีส่วนร่วมในการวางสายเคเบิลใต้ทะเล 4 โครงการด้วยการ รวมถึง โครงการที่เชื่อมเกาะกวม เข้ากับจีน โดยคาดว่า โครงการเหล่านี้จะเริ่มออนไลน์ได้เร็วสุดราวต้นปีหน้า
กูเกิล ระบุว่า แผนที่ วีดิโอ และบริการอื่นๆ ที่บริษัทนำเสนอนั้น ต้องพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานที่มีทั้งความเร็ว และเชื่อถือได้
ขณะที่เมื่อปลายปีที่แล้ว เฟซบุ๊ค และอเมซอน ได้ร่วมมือกับเอ็นทีที คอมมูนิเคชันส์ และซอฟท์แบงก์ กรุ๊ป 2 บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของญี่ปุ่น ให้ทุนสนับสนุนโครงการวางสายเคเบิลใต้ทะเล ระยะทาง 14,000 กิโลเมตร เชื่อมสหรัฐ ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์เข้าด้วยกัน
เมื่อการก่อสร้างนี้แล้วเสร็จราวต้นปี 2563 เคเบิลใต้ทะเลโครงการนี้ จะสามารถส่งข้อมูลขนาด 60 เทราบิตส์ได้ภายในเวลาเพียงวินาทีเดียว
การวางสายเคเบิลใต้ทะเลในเอเชียพุ่งขึ้น 30% แรงหนุนจากยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีร่วมลงทุน
การเข้ามาของยักษ์ใหญ่อินเทอร์เนตในด้านนี้ ที่ปกติมักจะมีแต่บริษัทโทรคมนาคมที่เข้ามาดำเนินการนั้น ช่วยหนุนให้เกิดการขยายตัวอย่างรวดเร็วของเครือข่ายเคเบิลใต้ทะเลลึกในเอเชีย
ข้อมูลจากเทเลจีโอกราฟฟี บริษัทด้านการวิจัยในสหรัฐ แสดงให้เห็นว่า ในช่วง 3 ปี นับถึงปี 2563 จะมีการวางสายเคเบิล คิดเป็นระยะทางรวม 137,000 กิโลเมตร รองรับการใช้งานจาก 18 ประเทศ และเขตแดนในเอเชีย พุ่งขึ้นถึง 33% จากการวางสายเคเบิลระยะทางประมาณ 103,000 กิโลเมตรในช่วง 3 ปีนับถึงปี 2560 ที่ผ่านมา
การวางสายเคเบิลที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว ได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ถึงความต้องการอินเทอร์เน็ตภายในภูมิภาคที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ก่อนการเปิดให้บริการเครือข่ายไร้สาย “5จี” และการแพร่หลายของเทคโนโลยี “อินเทอร์เน็ต ออฟ ธิงส์” (ไอโอที)
ข้อมูลจากซิสโก ซิสเต็มส์ บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐ แสดงให้เห็นว่า ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคจะมีปริมาณถ่ายโอนดาต้ารายเดือนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 108 ล้านล้านล้านไบต์ในปี 2564 เพิ่มขึ้นเกือบ 2.5 เท่าจากเมื่อปีที่แล้ว เทียบได้กับการบันทึกดีวีดีมากกว่า 25,000 ล้านแผ่น
ถ้าหากคิดเฉพาะสายเคเบิลที่เชื่อมโยงเอเชีย เข้ากับสหรัฐแล้วนั้น พบว่า ระหว่างปี 2561-2563 มีการวางเคเบิลใต้ทะเลโครงการใหม่อยู่ 4 โครงการด้วยกัน หรือเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากจำนวนโครงการช่วง 3 ปีที่แล้ว
