Politics

แก้ฝุ่นถาวร!! พปชร.ระดมสมองแก้ฝุ่นพิษแบบบูรณาการ

“พลังประชารัฐ” ระดมความเห็นแก้ฝุ่นควันภาคเหนือ วอนภาครัฐดูแลอย่างบูรณาการทั้งระบบ

พรรคพลังประชารัฐ นำโดย นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค นายสุวิทย์ เมษิณทรีย์ รองหัวหน้าพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล โฆษกพรรค ได้จัดเสวนา “แนวทางแก้ปัญหาไฟป่าและฝุ่นควัน PM 2.5”

พปชร94621

นายอุตตม กล่าวตอนหนึ่งว่า พรรคให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ตั้งแต่ลงสนามหาเสียงเลือกตั้งเพราะเห็นว่าเป็นปัญหาระดับชาติที่เกิดขึ้น ทั้งในกรุงเทพ เชียงใหม่ และพื้นที่ภาคเหนือตอนบน เพราะหากปล่อยไปก็จะเป็นปัญหาในระยะยาว เกิดผลกระทบต่อประชาชน

ทั้งนี้ ในฐานะเป็นพรรคการเมือง ยืนยันว่าจะเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายตามที่ประกาศไว้อย่างจริงจัง เพราะมีทีมงานของพรรคที่ศึกษาหาข้อมูล มีประสบการณ์ ดังนั้น จะเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง เพราะในฐานะฝ่ายการเมืองต้องยึดโยงกับประชาชนเสมอ

“อะไรที่จะเป็นประโยชน์เราก็นำเสนอไปยังภาครัฐ เพราะเป็นปัญหาฝุ่น PM 2.5 ซับซ้อนและต้องดำเนินการต่อเนื่อง ซึ่งทุกฝ่ายต้องช่วยกัน พรรคพลังประชารัฐจึงขอเป็นหนึ่งในผู้ที่จะมีส่วนรวบรวมและกระตุ้นความคิดเพื่อแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้และเรื่องอื่นๆที่เป็นประโยชน์กับประชาชน โดยไม่รอว่าจะต้องเป็นรัฐบาล” นายอุตตม กล่าว

สนธิรัตน์94621

ขณะที่ นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า เป้าหมายระยะสั้น คือ ทำอย่างไรให้ปัญหาฝุ่นควันไฟป่าของจังหวัดเชียงใหม่ และภาคเหนือตอนบน เบาบางลงและไม่เกิดขึ้นอีก และนำอากาศที่ดีกลับสู่ประชาชน ซึ่งเมื่อวันที่ 8 เมษายน ที่ผ่านมา ได้พูดคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งช่วยดูแลเรื่องไฟป่าและการทำฝนเทียม แต่ค่อนข้างมีอุปสรรคจากสภาพอากาศ ดังนั้น จึงเป็นโอกาสดีที่ทุกภาคส่วนจะได้มาแลกเปลี่ยนและหาทางออกร่วมกันในวันนี้ (9เม.ย.)

นายวีระวิทย์ แสงจักร ตัวแทนผู้ประสบภัยจังหวัดเชียงใหม่ ระบุว่า ต้องอยู่กับฝุ่นควันพิษมานานกว่า 2 เดือน คนในพื้นที่ทุกข์ทรมาน มีโรคภัยตามมา จึงต้องการให้พรรคพลังประชารัฐนำปัญหาตรงนี้เสนอต่อรัฐบาล ให้ลงมาช่วยเหลือและแก้ไขปัญหา โดยเร่งยกระดับความเดือดร้อนของชาวภาคเหนือตอนบนทุกจังหวัด ให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

ทั้งนี้ โดยเฉพาะเรื่องสุขอนามัยและสาธารณสุข และจากการลงพื้นที่ร่วมกับนายกอบศักดิ์ พบว่าไม่เจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาดูแล มีเพียงอาสาสมัครและชาวบ้านในตัวเมือง ประมาณ 30 องค์กร ลงขันนำเงินส่วนตัวมาผลิตเครื่องฟอกอากาศ รวมทั้งแจกหน้ากากอนามัย ซึ่งถือเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ดังนั้น อยากให้เกิดการบูรณาการตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ

งานเสวนา 7

นายรุจิพัฒน์ สุวรรณสัย กลุ่มล่ามช้าง ระบุว่า ปัญหาต้นเหตุทางภาคเหนือไม่ได้มีปัญหาหลักจาอุตสาหกรรมและเผาไหม้รถยนต์ แต่เป็นการเผาไหม้ในพื้นที่ เพราะหากดูจากจุดฮอตสปอตกว่า 80% เกิดในพื้นที่ป่าและไม่ใช่ไฟป่าที่เกิดขึ้นเอง แต่เกิดจากฝีมือมนุษย์ ซึ่งมีแรงจูงใจแม้รู้ว่าเป็นสิ่งไม่ดี นั่นคือชาวบ้านไม่มีอาชีพ ไม่มีเงิน จึงคิดว่าการเผาเพื่อเก็บของป่าขายเป็นการหารายได้

นอกจากนี้ มาตรการห้ามเผาเด็ดขาด เริ่มมา 4-5 ปี หากเอากฎหมายมาวางจะสามารถคุมทั้งจังหวัดได้ แต่ท้ายสุดแล้วไม่สามารถคุยกับประชาชนได้ และเกณฑ์การใช้มีความย่อหย่อนมาตลอด ช่วงมีปัญหาหนักอยู่ระหว่างเดือน มกราคม-เมษายน จากผลสำรวจตั้งแต่ปี 2014 – 2018 ซึ่งค่า PM 10 จะเกินค่าเพียงไม่กี่วัน แต่ PM 2.5 เกิดขึ้นทุกวัน และจะหายไปต่อเมื่อฝนตก และอีก 20% เกิดจากการเผาในพื้นที่เกษตร โดยเฉพาะพื้นที่ปลูกพืชเชิงเดี่ยวซึ่งมีพันธะสัญญาว่า ปลูกเท่าไหร่รับซื้อหมด เมื่อเก็บเกี่ยวเสร็จก็เผา

“บ้านเราก็ทำ พม่าก็ทำ ลาวก็ทำ เมื่อลมมา จึงพัดมายังประเทศไทย ถือเป็นการรับอิทธิพลข้ามแดน เมื่อชาวบ้านไม่มีองค์ความรู้ ไม่มีทางเลือก จึงต้องทำเช่นนั้น ดังนั้น ต้องหาแนวทางให้คนที่อยู่รอบๆป่ามีทางเลือก และมีองค์ความรู้ ถ้าหากเราเผาด้วยจะหนักเป็น 60 เท่า จากโมเดลที่ทำกัน หาสาเหตุปัญหามาจากอะไรบ้าง แต่งบวิจัยไม่พอ เพราะ 90% เป็นงบประมาณใช้ดับไฟ ดังนั้น หากสร้างชุดคณะทำงานขึ้นมา ต้องเน้นการมีส่วนร่วม มากกว่าจะเป็นการทำงานแบบซุปเปอร์แมน และจะทำให้จังหวัดเชียงใหม่กลับมาน่าท่องเที่ยวเหมือนเดิม” นายรุจิพัฒน์ ระบุ

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight