“พลังประชารัฐ” ระดมความเห็นแก้ฝุ่นควันภาคเหนือ วอนภาครัฐดูแลอย่างบูรณาการทั้งระบบ
พรรคพลังประชารัฐ นำโดย นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค นายสุวิทย์ เมษิณทรีย์ รองหัวหน้าพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล โฆษกพรรค ได้จัดเสวนา “แนวทางแก้ปัญหาไฟป่าและฝุ่นควัน PM 2.5”
นายอุตตม กล่าวตอนหนึ่งว่า พรรคให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ตั้งแต่ลงสนามหาเสียงเลือกตั้งเพราะเห็นว่าเป็นปัญหาระดับชาติที่เกิดขึ้น ทั้งในกรุงเทพ เชียงใหม่ และพื้นที่ภาคเหนือตอนบน เพราะหากปล่อยไปก็จะเป็นปัญหาในระยะยาว เกิดผลกระทบต่อประชาชน
ทั้งนี้ ในฐานะเป็นพรรคการเมือง ยืนยันว่าจะเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายตามที่ประกาศไว้อย่างจริงจัง เพราะมีทีมงานของพรรคที่ศึกษาหาข้อมูล มีประสบการณ์ ดังนั้น จะเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง เพราะในฐานะฝ่ายการเมืองต้องยึดโยงกับประชาชนเสมอ
“อะไรที่จะเป็นประโยชน์เราก็นำเสนอไปยังภาครัฐ เพราะเป็นปัญหาฝุ่น PM 2.5 ซับซ้อนและต้องดำเนินการต่อเนื่อง ซึ่งทุกฝ่ายต้องช่วยกัน พรรคพลังประชารัฐจึงขอเป็นหนึ่งในผู้ที่จะมีส่วนรวบรวมและกระตุ้นความคิดเพื่อแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้และเรื่องอื่นๆที่เป็นประโยชน์กับประชาชน โดยไม่รอว่าจะต้องเป็นรัฐบาล” นายอุตตม กล่าว
ขณะที่ นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า เป้าหมายระยะสั้น คือ ทำอย่างไรให้ปัญหาฝุ่นควันไฟป่าของจังหวัดเชียงใหม่ และภาคเหนือตอนบน เบาบางลงและไม่เกิดขึ้นอีก และนำอากาศที่ดีกลับสู่ประชาชน ซึ่งเมื่อวันที่ 8 เมษายน ที่ผ่านมา ได้พูดคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งช่วยดูแลเรื่องไฟป่าและการทำฝนเทียม แต่ค่อนข้างมีอุปสรรคจากสภาพอากาศ ดังนั้น จึงเป็นโอกาสดีที่ทุกภาคส่วนจะได้มาแลกเปลี่ยนและหาทางออกร่วมกันในวันนี้ (9เม.ย.)
นายวีระวิทย์ แสงจักร ตัวแทนผู้ประสบภัยจังหวัดเชียงใหม่ ระบุว่า ต้องอยู่กับฝุ่นควันพิษมานานกว่า 2 เดือน คนในพื้นที่ทุกข์ทรมาน มีโรคภัยตามมา จึงต้องการให้พรรคพลังประชารัฐนำปัญหาตรงนี้เสนอต่อรัฐบาล ให้ลงมาช่วยเหลือและแก้ไขปัญหา โดยเร่งยกระดับความเดือดร้อนของชาวภาคเหนือตอนบนทุกจังหวัด ให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
ทั้งนี้ โดยเฉพาะเรื่องสุขอนามัยและสาธารณสุข และจากการลงพื้นที่ร่วมกับนายกอบศักดิ์ พบว่าไม่เจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาดูแล มีเพียงอาสาสมัครและชาวบ้านในตัวเมือง ประมาณ 30 องค์กร ลงขันนำเงินส่วนตัวมาผลิตเครื่องฟอกอากาศ รวมทั้งแจกหน้ากากอนามัย ซึ่งถือเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ดังนั้น อยากให้เกิดการบูรณาการตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ
นายรุจิพัฒน์ สุวรรณสัย กลุ่มล่ามช้าง ระบุว่า ปัญหาต้นเหตุทางภาคเหนือไม่ได้มีปัญหาหลักจาอุตสาหกรรมและเผาไหม้รถยนต์ แต่เป็นการเผาไหม้ในพื้นที่ เพราะหากดูจากจุดฮอตสปอตกว่า 80% เกิดในพื้นที่ป่าและไม่ใช่ไฟป่าที่เกิดขึ้นเอง แต่เกิดจากฝีมือมนุษย์ ซึ่งมีแรงจูงใจแม้รู้ว่าเป็นสิ่งไม่ดี นั่นคือชาวบ้านไม่มีอาชีพ ไม่มีเงิน จึงคิดว่าการเผาเพื่อเก็บของป่าขายเป็นการหารายได้
นอกจากนี้ มาตรการห้ามเผาเด็ดขาด เริ่มมา 4-5 ปี หากเอากฎหมายมาวางจะสามารถคุมทั้งจังหวัดได้ แต่ท้ายสุดแล้วไม่สามารถคุยกับประชาชนได้ และเกณฑ์การใช้มีความย่อหย่อนมาตลอด ช่วงมีปัญหาหนักอยู่ระหว่างเดือน มกราคม-เมษายน จากผลสำรวจตั้งแต่ปี 2014 – 2018 ซึ่งค่า PM 10 จะเกินค่าเพียงไม่กี่วัน แต่ PM 2.5 เกิดขึ้นทุกวัน และจะหายไปต่อเมื่อฝนตก และอีก 20% เกิดจากการเผาในพื้นที่เกษตร โดยเฉพาะพื้นที่ปลูกพืชเชิงเดี่ยวซึ่งมีพันธะสัญญาว่า ปลูกเท่าไหร่รับซื้อหมด เมื่อเก็บเกี่ยวเสร็จก็เผา
“บ้านเราก็ทำ พม่าก็ทำ ลาวก็ทำ เมื่อลมมา จึงพัดมายังประเทศไทย ถือเป็นการรับอิทธิพลข้ามแดน เมื่อชาวบ้านไม่มีองค์ความรู้ ไม่มีทางเลือก จึงต้องทำเช่นนั้น ดังนั้น ต้องหาแนวทางให้คนที่อยู่รอบๆป่ามีทางเลือก และมีองค์ความรู้ ถ้าหากเราเผาด้วยจะหนักเป็น 60 เท่า จากโมเดลที่ทำกัน หาสาเหตุปัญหามาจากอะไรบ้าง แต่งบวิจัยไม่พอ เพราะ 90% เป็นงบประมาณใช้ดับไฟ ดังนั้น หากสร้างชุดคณะทำงานขึ้นมา ต้องเน้นการมีส่วนร่วม มากกว่าจะเป็นการทำงานแบบซุปเปอร์แมน และจะทำให้จังหวัดเชียงใหม่กลับมาน่าท่องเที่ยวเหมือนเดิม” นายรุจิพัฒน์ ระบุ