“เลขา กสทช.” แจงไม่มีนโยบายเก็บเงินจากคนใช้ “เฟซบุ๊ก-ยูทูบ” แต่จะผลักดันเรื่องเก็บรายได้จากผู้ให้บริการโซเชียลมีเดีย เตรียมไปถกบนเวทีอาเซียนต่อ ส.ค. นี้
นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยถึงแนวคิดเรื่องการจัดเก็บรายได้จากธุรกิจที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตบนโครงข่ายโทรคมนาคม (Over The Top : OTT) เช่น เฟซบุ๊ก ยูทูบ และทวิตเตอร์ ของสำนักงาน กสทช. ว่า แนวคิดเรื่องการจัดเก็บรายได้ OTT ไม่ได้เป็นการจัดเก็บเงินจากประชาชนผู้ใช้บริการ ทุกคนยังสามารถใช้งานโซเชียลมีเดียดังกล่าวได้ตามปกติ
แต่แนวคิดนี้ เป็นการจัดเก็บรายได้จากผู้ให้บริการ OTT ซึ่งเป็นข้อหารือในหลายๆ ประเทศมาไม่น้อยกว่า 2-3 ปีแล้ว สำหรับประเทศในกลุ่มอาเซียนเองก็ได้มีการหารือในเรื่องดังกล่าวด้วย เนื่องจากผู้ให้บริการ OTT เหล่านั้น ให้บริการโดยใช้โครงข่ายพื้นฐานโทรคมนาคมของแต่ละประเทศจำนวนมาก แต่ไม่มีการเสียภาษีเพื่อนำมาพัฒนาประเทศ และปรับปรุงโครงข่ายโทรคมนาคมที่ต้องมีการสร้างและ บำรุงรักษาอยู่ทุกปี
ทั้งนี้ แนวคิดในการจัดเก็บค่าใช้บริการโครงข่ายจาก OTT ที่มีการใช้งานโครงข่ายโทรคมนาคมในปริมาณมาก และมีทราฟฟิกในการใช้งานสูง มีการนำเสนอขึ้นมาในประเทศไทยครั้งแรกบนเวทีในงาน 5G ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นการเปิดประเด็นทางความคิดและกระตุ้นให้เกิดความสนใจเรื่องดังกล่าว โดยตนในฐานะประธานอาเซียนด้านโทรคมนาคมในปีนี้ จะนำเสนอต่อที่ประชุมอาเซียนที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพ ในเดือนสิงหาคม 2562 เพื่อหาข้อยุติ
“เรื่องนี้เป็นเพียงแค่แนวคิด ยังไม่ได้ข้อสรุป และมีผลบังคับใช้แต่อย่างใด ซึ่งหากที่ประชุมอาเซียนให้ความเห็นชอบ สำนักงาน กสทช. จึงจะทำการรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายเพื่อให้ได้แนวทางที่ดีที่สุด ซึ่งหากแนวทางที่สำนักงาน กสทช. เสนอหลายๆ ฝ่ายเห็นว่าไม่สามารถดำเนินการได้ มีแนวทางที่ดีกว่า สำนักงาน กสทช. ก็พร้อมน้อมรับ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อทุกฝ่ายทั้งประเทศชาติ ประชาชน รวมถึงผู้ประกอบการโทรคมนาคม ผู้ประกอบการ OTT ด้วย” นายฐากรกล่าว
อย่างไรก็ตาม เมื่อ 2 ปีก่อนประเทศไทยก็เคยมีความพยายามในเรื่องนี้ โดยเสนอให้ OTT เหล่านั้นเข้ามาลงทะเบียนในประเทศไทย ซึ่งแนวคิดดังกล่าวหลายฝ่ายรวมทั้งนายฐากรไม่เห็นด้วย เนื่องจากประเทศไทยไม่สามารถบังคับ OTT ให้เข้ามาลงทะเบียนในประเทศไทยได้ นอกจากนี้หลายประเทศในอาเซียนก็ได้พยายามให้ OTT ไปลงทะเบียนในประเทศของตนเช่นกัน แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ