เตรียมความพร้อมเข้าสู่ปี 2018 ด้วยการเกาะติดเทรนด์มาแรงที่เกี่ยวข้องกับเรื่องคนจาก 5 กูรู หรือ The Futurist ผู้ที่ศึกษาและเผยแพร่แนวคิดเกี่ยวกับโลกการทำงานในอนาคตกันดีกว่า
ในปีนี้ HR และคนทำงานต้องปรับตัวอย่างไรบ้าง
1. วัฒนธรรมองค์กรเป็นตัวกำหนดมูลค่าบริษัท (Company Brand and Culture Valuation)
กว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าบริษัทในสหรัฐ ขึ้นอยู่กับแบรนด์ สิทธิบัตร และบริการ ซึ่งทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับคน บริษัทที่เคลื่อนตัวช้า หรือเกิดความผิดพลาดได้ง่ายมักมีปัญหาคนหรือวัฒนธรรมองค์กรที่ซ่อนอยู่
Josh Bersin ผู้ก่อตั้งบริษัท Bersin & Associates กล่าวไว้ว่า บทบาทของ HR ในปีนี้ต้องเป็นคนขับเคลื่อนและสปอนเซอร์ในเรื่องวัฒนธรรม และค่านิยมองค์กรอย่างจริงจัง โดยหลายบริษัทใช้การปฐมนิเทศพนักงานในการสร้างวัฒนธรรมหรือที่เรียกว่า Cultureboarding
2. การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับพนักงาน (Employee Experience) กลายเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจ
Susan Peters ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายบุคคลบริษัท General Electric ให้นิยามไว้ว่า คือการมองโลกผ่านสายตาของพนักงาน เชื่อมต่อ และรับรู้ถึงก้าวสำคัญๆของพวกเขาที่มีกับบริษัท (Employee Touchpoints)
ประสบการณ์เหล่านี้ของพนักงานส่งผลต่อความผูกพันต่อบริษัท และกลายเป็นงานเชิงกลยุทธ์ที่น่าจับตามองในปีนี้ จนหลายบริษัทมีตำแหน่งที่เรียกว่า Employee Experience Manager โดยเฉพาะ
เว็บไซต์ Beyond.com ได้ทำการศึกษาพบกว่า 83% ของผู้บริหารฝ่ายบุคคลให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของพนักงาน โดยวางแผนว่าปีนี้จะลงทุนมากขึ้นในการพัฒนาพนักงาน (56%) และปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำงาน (51%) โดยหลายบริษัทเริ่มเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อดำเนินการ ถึงแม้ว่าจะมี นโยบายการทำงานจากนอกออฟฟิศในบริษัทส่วนใหญ่ก็ตาม
3. ระบบบริการตัวเองอัจฉริยะสนับสนุนให้ฝ่ายบุคคลทำงานเชิงกลยุทธ์มากขึ้น (HR Chatbots vs Strategic HR)
ในปีนี้บริษัทจะมีการนำระบบ Chatbots มาใช้ในการบริการพนักงานเหมือนที่เคยให้บริการลูกค้าในปีที่ผ่านมา โดยสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบาย ตอบคำถามเกี่ยวกับสวัสดิการ ตรวจสอบประวัติการลาพักร้อนได้อย่างแม่นยำ หรือแม้กระทั่งโค้ชผู้บริหารระดับสูง
Tom Haak ผู้ก่อตั้ง HR Trend Institute ยังกล่าวอีกว่า ในปี 2018 นี้เมื่อนำระบบมาใช้แล้ว ฝ่ายบุคคลจะสามารถผันตัวเองไปทำงานในเชิงกลยุทธ์มากขึ้นได้ บริษัท Amazon หรือแม้กระทั่งธนาคาร OCBC ของสิงคโปร์เป็นตัวอย่างหนึ่งที่พัฒนาแอพพลิเคชันอัจฉริยะชื่อ HR In Your Pocket ขึ้นมาเพื่อรองรับเทรนด์นี้โดยเฉพาะ
4. ให้ความสัมพันธ์ระหว่างคนมากขึ้น (Human Side of Leadership)
การที่มีเทคโนโลยีและระบบที่สามารถทำงานแทนคนได้ (Automation) ทำให้หัวหน้างานกลับมามีเวลาใหัพนักงานมากขึ้น
สถาบัน The Workforce Institute ของบริษัท Kronos Incorporated เผยแพร่ข้อมูลว่า ในปีที่ผ่านมา หัวหน้างานไม่ได้รับการอบรมด้านภาวะผู้นำที่ดีพอ ประกอบกับการทำงานจากคนละสถานที่ (Remote Work) และกองงานเอกสารมหาศาล
แต่ในปีนี้จะเป็นเหมือนการค้นพบโอกาสใหม่ในการสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่พนักงาน โดยองค์กรจะหันมามุ่งเน้นการพัฒนาทักษะด้านความสัมพันธ์ การสื่อสาร และการพัฒนาผู้นำรุ่นต่อไปมากขึ้นกว่าการมุ่งงานเพียงอย่างเดียวเหมือนในอดีต
5. นิยามใหม่ของการบริหารผลงาน (Performance Management as a Solution)
Steven Hunt ผู้อำนวยการอาวุโสของบริษัท SAP กล่าวว่า เรารู้จักกับระบบบริหารผลงานมานาน การประเมินผลงานประจำปีเป็นเหมือนฝันร้ายที่ทุกคนต้องเจอ แต่ในปีนี้การบริหารผลงานจะกลายเป็นระบบที่ช่วยพัฒนาพนักงานอย่างต่อเนื่อง และช่วยในการตัดสินใจของทีม โดยมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้การบริหารผลงานเป็นไปด้วยความต่อเนื่อง โปร่งใส และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างหัวหน้างานและพนักงาน
การพูดคุยระหว่างหัวหน้างานและพนักงานจะมีคุณภาพมากขึ้นและเป็นการสะท้อนความรู้สึก ส่วนผลงานจะมีการฟีดแบคแบบทันที (Real-Time) ซึ่งเชื่อมโยงกับเป้าหมาย ตัวชี้วัด (KPIs) หรือ OKRs แทน