Economics

‘ปตท.สผ.’ เผยซื้อ ‘เมอร์ฟี่ ออยล์ฯ’ เพิ่ม EBITDA 16% จ่อคุยแหล่งบรูไน-เวียดนาม

“ปตท.สผ.” เผยซื้อหุ้น “เมอร์ฟี่ ออยล์ฯ” ดัน EBITDA ปีนี้เพิ่ม 16% พร้อมนัดคุยแหล่งบรูไน-เวียดนามที่เปิดขายต่อ ขณะเดียวกันเล็งทบทวนแผนใหญ่กลางปีนี้

ปตท.สผ.

นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยถึงกรณีที่บริษัทย่อยของ ปตท.สผ. ได้ลงนามสัญญาซื้อขายหุ้นทั้งหมดในบริษัทย่อยของ เมอร์ฟี่ ออยล์ คอร์ปอเรชั่น ครอบคลุมแหล่งน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติจำนวน 5 แห่งในประเทศมาเลเซียว่า ในการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ บริษัทจะได้ประโยชน์ด้านอุปกรณ์และบุคลากรอีก 600 คน ซึ่งบุคลากรเหล่านี้มีความเชี่ยวชาญด้านการสำรวจและพัฒนาปิโตรเลียมในแหล่งน้ำลึก ดังนั้น ปตท.สผ. จึงวางแผนจะให้บุคลากรเหล่านี้ช่วยสำรวจแหล่ง M7 ในประเทศเมียนมาด้วย

นอกจากการลงทุนในประเทศเมียนมาและมาเลเซียแล้ว ปตท.สผ. ยังสนใจเข้าไปลงทุนในประเทศอินโดนีเซียตามยุทธศาสตร์การลงทุนใกล้บ้าน (Coming Home) โดยขณะนี้ประเทศอินโดนิเซีย มีแหล่งปิโตรเลียมขนาดใหญ่ที่กำลังจะหมดสัญญาสัมปทาน และรัฐบาลจะนำมาเปิดประมูลใหม่ ซึ่ง ปตท.สผ. เห็นว่ามีศักยภาพสูง และจะเข้าไปศึกษาการลงทุน

แหล่งบงกช 190104 0005
เมอร์ฟี่ ออยล์ฯ สนใจขายแหล่งบรูไน-เวียดนามต่อเนื่อง

นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจ บริษัท ปตท.สผ. กล่าวว่า ตามปกติการลงทุนของ ปตท.สผ. จะได้รับผลตอบแทนประมาณ 10-15% โดยการลงทุนในแหล่งปิโตรเลียมของเมอร์ฟี่ ออยล์ฯ คาดว่าจะใช้วงเงินลงทุนประมาณ 300-400 ล้านดอลลาร์ต่อปี แต่ก็มีบางแหล่งที่ผลิตแล้ว และสามารถสร้างกระแสเงินสดประมาณ 300 – 500 ล้านดอลลาร์ต่อปี เพราะฉะนั้นแหล่งเหล่านี้ จึงสามารถเลี้ยงตัวเองและนำเงินมาลงทุนต่อยอดได้

นอกจากนี้เมอร์ฟี่ ออยล์ฯ ยังดำเนินนโยบายจะกลับไปลงทุนใกล้ประเทศเม็กซิโก และอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศแม่ต่อเนื่อง จึงได้มาพูดคุยกับ ปตท.สผ. ถึงการจำหน่ายแหล่งปิโตรเลียมในประเทศบรูไนและเวียดนามเพิ่มเติม แต่แหล่งดังกล่าวไม่ใช่แหล่งที่ใหญ่มาก และ ปตท.สผ. ยังตอบไม่ได้ว่าสนใจมากน้อยแค่ไหน เพราะยังไม่เห็นข้อมูล โดยบริษัท และเมอร์ฟี่ ออยล์ฯ มีนัดหารือกันในเดือนพฤษภาคมนี้

ขณะเดียวกันเมอร์ฟี่ ออยล์ฯ ต้องการจะจำหน่ายแหล่งปิโตรเลียมในประเทศออสเตรเลียด้วย แต่บริเวณดังกล่าวไม่ใช่จุดที่ ปตท.สผ. ให้ความสนใจเป็นหลัก

PTTEP Murphy photo3

ทบทวนแผนลงทุนครั้งใหญ่

นายมนตรี กล่าวต่อว่า ในช่วงกลางปีนี้ บริษัทจะทบทวนแผนการลงทุนประจำปี ซึ่งเป็นไปตามวงรอบปกติ แต่ในครั้งนี้จะทบทวนแผนการลงทุนให้มองเห็นเป้าหมายระยะยาวมากขึ้น ส่วนแผนการลงทุนในด้านการขุดเจาะสำรวจปีนี้ วางเป้าหมายจะใช้เงินลงทุนราว 200 ล้านดอลลาร์ เพื่อขุดหลุมสำรวจ 8 หลุม ในเมียนมา และมาเลเซีย รวมถึงการลงทุนพัฒนาแหล่งโครงการแอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซ คาดว่าจะใช้เงินราว 100 ล้านดอลลาร์ในปีนี้

สำหรับการหารือถึงการถ่ายโอนทรัพย์สินของแหล่งเอราวัณและแหล่งบงกช ที่ ปตท.สผ. ชนะการประมูลนั้น ล่าสุด ปตท.สผ. จะหารือกับกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติและเชฟรอนในสิ้นเดือนนี้

ด้านการพัฒนาแหล่งผลิตในประเทศโมซัมบิกนั้น เบื้องต้น ปตท.สผ. คาดว่าจะมีการประกาศ Milestone ระหว่างการประชุม International Conference & Exhibition on Liquefied Natural Gas (LNG2019) ในเดือนเมษายน และจะประกาศอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคม

Map 1
EBITDA ปีนี้เพิ่ม 16%

นายสัมฤทธิ์ สำเนียง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานการเงินและการบัญชี บริษัท ปตท.สผ.กล่าวว่า การซื้อบริษัทย่อยของเมอร์ฟี่ ออยล์ฯ ส่งผลให้ ปตท.สผ. มีปริมาณการขายปิโตรเลียมในปีนี้เพิ่มขึ้นประมาณ 15% เมื่อเทียบกับปัจจุบัน และส่งผลให้กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา (EBITDA) ในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 16% จากนั้นคาดว่าเมื่อแหล่งปิโตรเลียม Sabah H เริ่มผลิตในปี 2565 จะทำให้ปริมาณการขายปิโตรเลียมเพิ่มขึ้น 60,000 – 70,0000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับปัจจุบัน

ทั้งนี้ปัจจุบัน ปตท.สผ. มีเงินสดอยู่ในมือ 4,000 ล้านดอลลาร์ และมีอัตราหนี้ต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 0.16 เท่า โดย ปตท.สผ. จะใช้เงินสดที่อยู่ในมือชำระค่าซื้อหุ้นในบริษัทย่อยของเมอร์ฟี่ ออยล์ฯ จำนวน 2,127 ล้านดอลลาร์

ในเร็วๆ นี้ ปตท.สผ. ก็มีภาระต้องจ่ายภาษีแก่ภาครัฐ จ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้น และจ่ายเงินกู้ครบกำหนดรวมประมาณ 1,600 ล้านดอลลาร์ ดังนั้นจึงต้องมาทบทวนด้านการเงินให้เหมาะสม แต่ปัจจุบันบริษัทยังมีอัตราหนี้สินต่อทุนต่ำกว่าเป้าหมายที่ไม่เกิน 0.5 เท่า หรือสามารถกู้เพิ่มได้อีก 4,000 ล้านดอลลาร์

Avatar photo