Finance

รู้หรือไม่!! นโยบายเศรษฐกิจทุกพรรค หนุนหุ้น 4 กลุ่มเด้ง

เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของการเมืองไทย เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ซึ่งพรรคการเมืองต่างๆที่ร่วมลงสนามศึกชิงตำแหน่ง ส.ส. ในครั้งนี้ ประกาศนโยบายการบริหารของแต่ละพรรคการเมือง ซึ่งนักวิเคราะห์ได้ประเมินว่า นโยบายโดยสรุปของแต่ละพรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคใหญ่ มุ่งเน้นประโยชน์กลุ่มผู้มีรายได้น้อย และการอัดฉีดเงินเม็ดเงินให้ ดังนั้นหุ้นที่จะได้รับอานิสงส์ ประกอบด้วย หุ้นค้าปลีก ท่องเที่ยว สื่อโฆษณา  นอนแบงก์

บล.เอเซียพลัส ประเมินว่า นโยบายเศรษฐกิจของทุกพรรค ดีต่อหุ้นค้าปลีก โดยเศรษฐกิจไทยปี 2562  ASPS คาด GDP Growth ขยายตัว 3.4% ชะลอจาก 4.1% ในปี 2561  และเชื่อว่าปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากภายในประเทศ  โดยเฉพาะการบริโภคภาคครัวเรือน ที่คาดว่ายังคงได้ประโยชน์จากมาตการกระตุ้นต่างๆ ของภาครัฐ เช่น บัตรสวัสดิการที่ให้เงินช่วยเหลือแก่ผู้มีรายได้น้อย 300-500 บาทต่อเดือน ตั้งแต่ 1 มกราคม 2561 จนถึง 30 กันยายน 2562 รวมถึงในปีนี้ ไทยจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคม 2562 ซึ่งคาดว่าการบริโภคจะเป็นปัจจัยหนุนอย่างต่อเนื่องเห็นได้จากนโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมืองใหญ่ๆ ทุกพรรคที่มีจุดร่วมเหมือนกัน คือ มุ่งไปที่การอัดฉีดเงิน และช่วยเหลือและดูแลเกษตรกร และผู้มีรายได้น้อยเป็นสำคัญ เช่น

สถิติการเติบโตยอดขาย 01

พรรคประชาธิปัตย์  มุ่งเน้นผู้มีรายได้น้อย อาทิ นโยบายประกันรายได้แรงงาน 1.2 แสนบาท/ปี, นโยบายเกิดปั๊บรับแสน และช่วยเหลือภาคเกษตร โดยประกันราคาสินค้า 3 ชนิดคือ  ข้าว, ยาง และปาล์ม

พรรคเพื่อไทย ให้ความสำคัญกับการเพิ่มสิทธิประโยชน์ 30 บาทรักษาทุกโรค  รักษาได้ทุกโรงพยาบาล และช่วยเกษตรกร โดยเฉพาะผู้ปลูกข้าว เกวียนละ 5 พันบาท ไม่เกิน 15 เกวียนต่อครัวเรือน

พรรคพลังประชารัฐ เน้นต่อยอดโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้ครอบคลุมมากขึ้น, มารดาประชารัฐ  อาทิ ตั้งครรภ์รับเดือนละ 3,000 บาท, ให้เงินค่าคลอด 1 หมื่นบาท และมาตการภาษี เช่น ภาษีนักศึกษาจบใหม่

พรรคอนาคตใหม่ ให้เงินช่วยเหลือการเลี้ยงดูบุตร และเยาวชน, เพิ่มงบบัตร 30 บาท และด้านการเกษตร เน้นการปรับโครงสร้างหนี้ เช่น นโยบายปลดหนี้เกษตรกร

อย่างไรก็ตาม คาดว่ากำลังซื้อที่ได้แรงหนุนจากนโยบายต่างๆข้างต้น เชื่อว่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อธุรกิจค้าปลีก โดยหากพิจารณายอดขายสาขา สถิติในอดีตพบว่า ช่วง 1 – 2 ไตรมาส ก่อนและหลังการเลือกตั้ง การเติบโตของยอดขายสาขาเดิม หรือ SSSG มักจะปรับตัวขึ้น เช่น

การเลือกตั้งงวดไตรมาส 4 ปี 2550 พบว่า ช่วงไตรมาส 3 ปี 2550 SSSG อยู่ที่ 0.3% และเพิ่มเป็น 1.3% และ 4.1% ในงวดไตรมาส 4 ปี 2550 และไตรมาส 1 ปี2551 ตามลำดับ

การเลือกตั้งงวดไตรมาส 3 ปี 2554 พบว่า งวดไตรมาส 2 ปี 2554 มี SSSG อยู่ที่ 6% และเพิ่มมาเป็น 9.3% ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2554  และ 4.8% ในไตรมาส 4 ปี 2554 ทำให้ฝ่ายวิจัยเชื่อว่า SSSG กลุ่มค้าปลีก ปี 2562 จะปรับตัวดีขึ้นเป็น 2.5% จาก 1.3% ในปี 2561  โดยรวมเชื่อว่าจะดีต่อ หุ้นค้าปลีก

เลือกตั้ง6 1

ฝ่ายวิจัยคาดว่าก่อนเดินทางไปสู่การเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 ตลาดหุ้นในช่วง 1 – 2 สัปดาห์ จะผันผวนแต่น่าจะยืนในกรอบ 1,630 – 1,670 จุด ตราบที่ยังไม่มีแรงหนุนจากต่างชาติ กลยุทธ์การลงทุนแนะนำหุ้นที่เข้าคุณสมบัติ อิงการบริโภคในประเทศที่ได้ประโยชน์จากการใช้จ่ายภาครัฐ ตามนโยบายช่วยรากหญ้า ทั้งรัฐบาลปัจจุบันและรัฐบาลใหม่ที่จะเกิดขึ้นจากการหาเสียง ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก  ตามด้วยหุ้นที่เกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อผู้มีรายได้น้อยผ่านการปล่อยสินเชื่อทะเบียนรถยนต์ ได้แก่ SAWAD, MTC หรือบริษัทที่ซื้อหนี้มาบริหาร เช่น JMT

สอดคล้องกับ บล.กรุงศรี มองว่า การเมืองไทยเข้าสู่โค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งทำให้พรรคการเมืองเดินหน้าชูนโยบายที่เป็นหมัดเด็ดเพื่อเรียกคะแนนเสียง โดยล่าสุด พรรค พปชร.ประกาศนโยบายเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ 400 – 425 บาท จาก 325 – 340 บาท และปรับเพิ่มอัตราเงินเดือนผู้จบปริญญาตรีขึ้นเป็นเดือนละ 2 หมื่นบาท จากเดิม 1.5 หมื่นบาท และอาชีวะให้เงินเดือน 1.8 หมื่นบาท จากเดิม 1.0 – 1.5 หมื่นบาท

รวมไปถึงนโยบายภาษี Income tax โดยนโยบายดังกล่าวถือเป็นสัญญาณลบต่อผลกำไรของบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้แรงงานจำนวนมากอาทิ กลุ่มเกษตร, กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง, กลุ่มร้านอาหารและบริการ และ กลุ่มธุรกิจ SME แต่อำนาจซื้อที่เพิ่มขึ้นจะเป็นบวกต่อกลุ่มค้าปลีก และ กลุ่มสื่อโฆษณา

ด้านบล.เออีซี ระบุว่ากลุ่มที่จะได้ประโยชน์หลังเลือกตั้ง คือ กลุ่มค้าปลีก โดยคาดว่าหลังเลือกตั้งภายใต้รัฐบาลใหม่จะเข้ามาแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนเป็นอันดับต้นๆ จึงอานิสงส์บวก เพราะได้ประโยชน์จากกำลังซื้อที่มากขึ้น กลุ่มท่องเที่ยว คาดว่าเมื่อประเทศไทยเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง ทำให้นักท่องเที่ยวบางกลุ่มมีมุมมองความเสี่ยงทางการเมืองของประเทศไทยลดลง ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น

หุ้นกลุ่มสื่อ โดยคาดว่าเอเจนซี่ที่ชะลอการใช้เม็ดเงินในช่วงก่อนหน้าจะกลับมาอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่อุตสาหกรรมอีกครั้ง เพราะหลังการเลือกตั้งมีความชัดเจนและการบริโภคในประเทศมีแนวโน้มดีขึ้น กลุ่มที่เห็นสัญญาณบวกจากส่วนแบ่งในเม็ดเงินโฆษณาที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นในเดือนมกราคม คือกลุ่มดิจิทัลทีวี  (เพิ่มจาก 62.7% ณ สิ้น ธ.ค. เป็น 64.6%)

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight