ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานทดแทนที่ร่วงแบบไม่มีหูรูด…นับตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน 2561 ที่ผ่านมา หลัง “ศิริ จิระพงษ์พันธ์” รมว.พลังงาน (คนใหม่) ไฟแรง ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงนโยบายด้านพลังงาน โดยระบุว่ามีแนวคิดชะลอการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนออกไปอีก 5 ปี
ทำเอาตัวแทนจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ต้องเข้าหารือเป็นการเร่งด่วน!!!
เพราะส่งผลกระทบกับภาคธุรกิจเอกชน โดยเฉพาะบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แบบเต็มๆ
เห็นได้จากหลังการให้สัมภาษณ์ ราคาหุ้นดำดิ่ง! ตามกัน บางบริษัทร่วงลงเกือบ 50% เพราะนักลงทุนมีความกังวล หากมีการหยุดรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนจริง ไม่ว่าจะเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหิน โซลาร์ฟาร์ม ชีวมวล หรือโรงไฟฟ้าขยะ
ขณะเดียวกันยังลามไปถึงความเชื่อมั่นของสถาบันการเงินที่มีต่อการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน เนื่องจากมีความเสี่ยงมากขึ้น
นอกจากนี้ ราคารับซื้อไฟยังถูกลงอีกด้วย
ถ้ามองในมุมกลับกัน นโยบายพลังงานใหม่ก็ถือว่ามีผลดีกับผู้บริโภค เนื่องจากราคารับซื้อไฟใหม่ ที่รมว.พลังงาน เคาะ “ถูกลง” เนื่องจากความล้ำหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้ต้นทุนถูกลง ราคารับซื้อไฟก็ควรปรับลดตาม
การออกมากดดันของ ส.อ.ท. ทำให้ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลกระทรวงพลังงานต้องออกมายืนยันว่า รัฐบาลยังคงให้ความสำคัญกับความมั่นคงพลังงาน รวมทั้งส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนและพลังงานทดแทน และกระทรวงพลังงานกำลังทำแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (พีดีพี 2018) ซึ่งจะแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2561 นี้
ถือเป็นการ “กลับลำ” นโยบายรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนหรือพลังงานหมุนเวียน ภายในห้วงเวลา ไม่ถึง 1 เดือน
ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานทดแทนฟื้นตัวในทันที!!!
ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานทดแทน
ณ วันที่ 11 พ.ค. 61
ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ขณะที่ ฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เตรียมปรับลดคำแนะนำลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงานทดแทน หลังประเมินภาพรวมการเติบโตมีจำกัดมากขึ้น หลังจากรัฐบาลเปลี่ยนนโยบายเลือกรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนในราคาขายต่ำกว่าหรือเท่ากับราคารับซื้อสายส่งที่ 3.6 บาท/หน่วย ซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) โครงการรับซื้อไฟฟ้าในอนาคตลดลง
ขณะที่ภาพรวมกลุ่มพลังงานทดแทนยังอยู่ภาวะชะลอตัว
นอกจากนี้ กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP 2018) คาดแล้วเสร็จเดือน ก.ย. 2561 จะเน้นไปที่การจัดหาพลังงานให้เพียงพอกับความต้องการใช้ โดยคำนึงถึงเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปและราคาขายไฟฟ้าที่ไม่เป็นภาระของประชาชน
ฝ่ายวิจัยฯ จึงมีแนวโน้มปรับลดคำแนะนำกลุ่มพลังงานทดแทน เป็น “น้อยกว่าตลาด” จากเดิม “เท่ากับตลาด”