Finance

เช็คด่วน!! หุ้นเด็ดรับอานิสงส์เลือกตั้งมาไกลแค่ไหน

ในช่วงที่มีการกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในวันที่ 24 มีนาคม 2562 บรรดาโบรกเกอร์ได้ออกมาแนะนำหุ้นที่น่าลงทุน เนื่องจากคาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากการเลือกตั้งในครั้งนี้และเมื่อผ่านมาเกือบ 2 เดือน ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังไม่ได้สะท้อนไปในทิศทางใดหรือทิศทางหนึ่งอย่างชัดเจน ซึ่งดัชนีแกว่งตัวผันผวน โดยตั้งต้นปีจนถึงตอนนี้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 4%

จากการสำรวจข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่า หุ้นที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากการเลือกตั้งที่โบรกเกอร์แนะนำให้ลงทุนเกือบ 40 บริษัท และอยู่ในกลุ่มค้าปลีก ท่องเที่ยว โรงแรม เช่าซื้อ เทคโนโลยี สิ่งพิมพ์ วัสดุก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้าง และงานรับเหมาฐานราก

หุ้นราคาปรับขึ้น1 01

หากพิจารณาเป็นรายบริษัท ประกอบด้วย หุ้น BJC, GLOBAL, HMPRO, ROBINS, CPALL, CPN, MTC, SAWAD ,TK, THANI , TKS,PLANB ,SCC, DCC, DRT, TASCO, SAMART หุันSAMTEL,ITEL, AIT , PYLON , SEAFCO,STEC, CK ,SCB, KBANK, BBL ,WHA, AMATA,PTTGC, ERW, MINT, CENTEL, TOP,INTUCH, DTAC

เมื่อสำรวจการเคลื่อนไหวราคาหุ้นทุกบริษัทข้างต้นพบว่า มีจำนวน 22 บริษัทที่ราคาปรับตัวขึ้นแรง ขณะที่หุ้นที่เหลือราคาปรับตัวลดลง ซึ่งหุ้นที่ราคาปรับตัวขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า ผู้ลงทุนมีความเชื่อมั่นจึงเข้ามาซื้อลงทุน และรอขายทำกำไรเมื่อกิจกรรมการเลือกตั้งจบลง

สำหรับหุ้นที่ราคาปรับตัวขึ้นแรง ได้แก่ หุ้น CPALLราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 12.36%, SAWAD 8.89%, TK 10.5%, TKS 18.12%, SCC 8.72%, DCC 5.10%, DRT 5.66%, TASCO 13.10%, SAMART 19.69%, SAMTEL 2.7%,  ITEL 14.77%, AIT 10.66%, STEC 9.8%, KBANK 4.05%, BBL 1.97%, AMATA 1.46%, ERW 15.87%, MINT 13.24%, CENTEL 15.63 %, TOP 6.04%, INTUCH 16.23% และ DTAC 15.63 %

หุ้นราคาปรับขึ้น2 01

บล.ทรีนีตี้ ประเมินว่า การเลือกตั้งทั่วไปในประเทศวันที่ 24 มีนาคม 2562 ซึ่งถือเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในภาวะ Wait & See ช่วงที่ผ่านมา ประเมินว่า หากรัฐบาลชุดใหม่ (ซึ่งคาดว่าจะเป็นรัฐบาลผสม) มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯมากเท่าใด นักลงทุนในตลาดหุ้นจะตอบรับเชิงบวกมากเท่านั้น เนื่องจากจะทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลชุดใหม่อยู่ในระดับสูง พร้อมที่จะพิจารณาออกกฎหมายต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในทางกลับกัน หากเป็นรัฐบาลที่มีเสียงในสภาผู้แทนไม่มากพอ หรือการจัดตั้งรัฐบาลเป็นไปอย่างยากลำบาก คาดตลาดจะตอบรับในเชิงลบได้

กลยุทธ์การลงทุน  โดยช่วงก่อนการเลือกตั้ง ควรจำกัดการหมุนของหุ้นในพอร์ตลงทุน หากต้องการเข้าซื้อเล่นรอบ แนะนำกรอบดัชนี 1,600 – 1,620 จุด

ช่วงหลังการเลือกตั้ง  หากมีผลออกมาเชิงลบ(Negative surprise) จนดัชนีย่อตัวแรง มองสามารถเริ่มเข้าสะสมได้หากดัชนีหลุดระดับ 1,600 จุดลงมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ระดับ 1,560 จุด เนื่องจากเป็นจุดที่่มูลค่าพื้นฐาน (Valuation) มีความน่าสนใจมาก เพราะเทียบเท่าระดับพีอีเรโชล่วงหน้า (Forward PE )ปี 2563ที่ 13 เท่า และเป็นระดับที่ทำให้ Earning yield gap ของตลาดหุ้นไทยกลับเข้าสู่ค่าเฉลี่ยได้อีกครั้ง

หุ้นราคาปรับขึ้น3 01

ส่วนหุ้นแนะนำให้ลงทุนโดยประเมินหุ้นที่น่าสนใจในการเข้าสะสม หากดัชนีมีการย่อตัวลงมา ได้แก่ กลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ปันผลสูงที่ราคายังคงปรับตัวน้อยกว่าตลาดและมีมูลค่าพื้นฐาน( Valuation) ถูก ได้แก่ BBL, PTTGC

กลุ่มหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ได้แก่ ERW, MINT, CENTEL

กลุ่มโรงกลั่นที่คาดว่าจะมีผลการดำเนินงานดีในไตรมาส 1 ปี 2562 ได้แก่ TOP

กลุ่มหุ้นที่อาจถูกนำเข้าสู่ดัชนี MSCI และอาจถูกเพิ่มน้ำหนักในดัชนี MSCI หากมีการบังคับใช้เกณฑ์ NVDR ใหม่ ได้แก่ INTUCH, DTAC, SCC, BDMS, CPN และกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะถูกนำเข้าสู่ดัชนี SET50 ในรอบถัดไป ได้แก่ OSP รวมถึงกลุ่มหุ้นที่มักปรับตัวผลการดำเนินงานดีในทุกไตรมาส 2 ของทุกๆปี ได้แก่ KCE

บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบีแนะนำ กลยุทธ์หลังการประกาศงบไตรมาส 4 ปี 2561 และงบรวมปี 2561 ผ่านไปแล้ว ส่งผลให้การคาดการณ์อัตราการทำกำไร ปี 2562 มีทั้งขึ้นและลงที่ถูกปรับขึ้นอย่างตลาดหุ้นไทยที่อัตราการทำกำไรปีนี้จะขยายตัวถึง 8% มาจากอัตราการทำกำไรในปี 2561 ติดลบประมาณ 2%

หากมาดูทิศทางอัตราการทำกำไรของตลาดหุ้นในโซนต่างๆ อย่างในอาเซียน ตลาดหุ้นเกิดใหม่เอเชียและตลาดหุ้นเกิดใหม่ทั่วโลก พบว่าอัตราการทำกำไรของแต่ละโซน ยังชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง เรามองว่ารูปแบบการฟื้นตัวของดัชนีหุ้นไทย ในปีนี้จะคล้ายกับการฟื้นในปี 2557 และ 2559 หลังดัชนีลงแรงในปี 2556 และ 2558 โดยมีจุดที่คล้ายกันที่

หุ้นราคาปรับขึ้น4 01

โดยก่อนหน้าที่จะฟื้น เป็นปีที่ต่างชาติขายหุ้นไทยหนักมากทั้งปี 2556 2558  และ 2561 ขณะที่ การฟื้นตัว ของดัชนีในปี 2557และ 2559 เป็นแบบ V shape หมด โดยปี 2556 ดัชนีหุ้นไทยปิดสูงสุดที่ 1,640 จุดพอฟื้นตัวปี 2557 ดัชนีขึ้นสูงสุดที่ประมาณ 1,600 จุด ส่วนปี 2558 ดัชนีหุ้นขึ้นสูงสุดที่ 1,610 จุดต้นๆ พอฟื้นในปี 2559 ดัชนีขึ้นสูงสุดที่ประมาณ 1,550 จุด ขณะที่จุดฟื้นตัวของดัชนีจะอยู่ในตำแหน่งใกล้เคียงกันคือ ต้นปี +/-7 วัน การฟื้นตัวทั้ง 2 รอบจะนำโดยกลุ่ม พลังงาน ธนาคารสื่อสาร และอสังหาริมทรัพย์

สำหรับครั้งนี้ คาดจะยังเป็นกลุ่มที่โตจากภายในประเทศเนื่องจากนโยบายของแต่ละพรรคเน้นการช่วยเหลือ และกระตุ้นการบริโภคในประเทศเป็นหลัก คือ กลุ่มค้าปลีก อาหาร-เครื่องดื่ม รับเหมา ท่องเที่ยว ธนาคาร และสินเชื่อเช่าซื้อ

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight