Politics

เลือกข้าง!! อดีต ‘ไทยรักษาชาติ’ ย้ำเลือกพรรคประชาธิปไตยบริหารประเทศ

“อดีต ทษช.” เปิดปราศรัยใหญ่ร้อยเอ็ดครั้งแรก ย้ำ “ประชาชน” เลือกฝ่าย “ประชาธิปไตย” เข้าบริหารประเทศ ยัน 5 ปี “คสช.” ทำเศรษฐกิจถอยหลัง

อดีตแกนนำพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) อาทิ นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ นายก่อแก้ว พิกุลทอง นายนิคมไวยรัชพานิช นายประภัสร์ จงสงวน และ น.พ.เหวง โตจิราการ เปิดเวทีปราศรัย “ก้าวต่อไปเพื่อประชาธิปไตย” ครั้งแรก ณ ลานข้างที่ทำการป่าไม้ตลาด อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด โดยมีประชาชนเข้าร่วมรับฟังเป็นจำนวนมาก

จาตุรนต์ ฉายแสง 2

นายจาตุรนต์ กล่าวว่า มีคนมุกดาหารเล่าให้ฟังว่า พรรคที่สนับสนุนทหารแจกเงินประชาชนจำนวนมาก เวลามาปราศรัยก็มีคนมาฟังเยอะ เพราะหลังจากปราศรัยจะไปแจกเงินถึงบ้าน ซึ่งหลายๆ จังหวัดในภาคอีสาน เชื่อว่าเป็นเหมือนกัน คือ เวลาใครเอาเงินมาให้ก็รับไว้ แต่เวลาเลือกตั้งจะกาพรรคฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งผู้สมัครบางคนหาเสียงโดยไม่บอกพรรค แต่ให้เลือกที่ตัวบุคคล เพราะตัวเองไปอยู่พรรคทหาร แต่สำหรับจังหวัดร้อยเอ็ด ส่วนตัวรู้ดีว่าพรรคฝ่ายเผด็จการ ถ้าคิดจะใช้อำนาจและเอาเงินมาให้ จะต้องได้รับการสั่งสอนจากชาวร้อยเอ็ด

“เมื่อก่อนจะมีคนพูดว่าถ้าคิดจะซื้อเสียงให้ไปซื้อที่ภาคอีสาน เพราะเมื่อปี 2522 มีอดีตรัฐมนตรีมาลงสมัครรับเลือกตั้งและวางแผนการซื้อเสียงอย่างเป็นระบบ จึงเป็นที่มาของคำว่า “โรคร้อยเอ็ด” แต่พอต่อมาเริ่มมีหลายพรรคการเมืองเข้ามาแข่งขันกันด้วยนโยบาย แต่ในปี 2544 เกิดพรรคไทยรักไทยที่เอานโยบายมาเสนอให้ชาวอีสาน ทั้ง 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน เป็นต้น และนโยบายเหล่านั้นถูกใจคนอีสาน” นายจาตุรนต์ กล่าว

ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครทำให้เข้าถึงราคาพืชผลการเกษตร ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ประชาชนจึงเลือกพรรคนี้อย่างถล่มทลายได้จัดตั้งรัฐบาล และไม่ทำให้ชาวอีสานทั่วประเทศผิดหวัง และปี 2548 พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งถล่มทลายและสูงที่สุดในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งไทย รวมทั้งประชาชนมาเลือกตั้งมากที่สุด คือ คนอีสาน หลังจากนั้นจึงเป็นที่รู้กันไปทั่วว่าประชาชนที่ใส่ใจการเลือกตั้งมากที่สุด คือ ประชาชนชาวอีสาน

อย่างไรก็ตาม หากใครจะมาแจกเงินก็รับให้หมด แต่สุดท้ายแล้ว ชาวอีสานก็จะเลือกที่พรรคว่าใครเป็นฝ่ายประชาธิปไตย หรือฝ่ายเผด็จการ เพราะ 5 ปีที่ผ่านมา การบริหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทำให้ประชาชนเดือดร้อน  และหากให้บริหารต่อ คสช. ก็จะบริหารต่อไปอีก 20 ปี แถมกติกาในรัฐธรรมนูญก็ไม่เป็นธรรม ชาวร้อยเอ็ดทั้งจังหวัดเลือก ส.ส. ได้ 7 คน แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนเดียวเลือก ส.ว. ได้ถึง 250 คน และมีสิทธิ์มาโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี

อย่างไรก็ตาม การไม่ไปลงคะแนนบ้าง แบ่งคะแนนไปให้คนโน้นคนนี้บ้าง ก็จะไม่ชนะการเลือกตั้ง แต่ต้องลงคะแนนเสียงกันอย่างถล่มทลาย เหมือนกับอดีตที่ผ่านมา แม้จะมีการวางกติกาเพื่อป้องกันไม่ให้พรรคการเมืองสายไทยรักไทยชนะการเลือกตั้ง แต่สุดท้ายพรรคพลังประชาชนก็ได้บริหารประเทศ ดังนั้น การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นการพิสูจน์อีกครั้งว่า ชาวร้อยเอ็ดไม่เอาเผด็จการหวังสืบทอดอำนาจ เงินซื้อไม่ได้ และจะเลือกฝ่ายประชาธิปไตยเท่านั้น

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ

ด้าน นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้มาพูดคุยกับประชาชน เพราะมีทหารเข้ามารัฐประหารยึดอำนาจ ห้ามชุมนุมทางการเมือง ห้ามชูสามนิ้ว หรือบางคนแค่กินแซนวิชก็โดนจับ แต่วันนี้ (13มี.ค.) ได้มีโอกาสกลับเข้ามาพูดคุยกับประชาชน จึงอยากจะมาบอกให้ประชาชนฟังถึงการเลือกตั้งครั้งนี้ ว่าไม่ใช่แค่การเลือกผู้แทนเขตหรือพรรครัฐบาล แต่เป็นการเลือกอนาคตของประเทศ

“ถ้าเลือกการสืบทอดอำนาจก็จะยาวไปอีก 20 ปีตามยุทธศาสตร์ชาติ ที่ผ่านมาถ้าประชาชนอยู่ดีกินดี ค้าขายคล่อง เวทีนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมี แต่ 5 ปีที่ผ่านมา พืชผลการเกษตรราคาตกทุกตัว การเลือกตั้งคราวนี้ คือ การทำให้ประเทศไปสู่หลักการที่ถูกต้อง มีรัฐบาลที่ฟังเสียงประชาชนมาแก้ปัญหาให้ประชาชน รัฐบาลปัจจุบันไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่มี ส.ส. ในพื้นที่ มีแต่ สนช. ที่พล.อ.ประยุทธ์ เลือกมา งบประมาณของประเทศในแต่ละปี ผ่านด้วยเวลาไปถึง 3 ชั่วโมง”

อย่างไรก็ดี เมื่อก่อนมีปัญหาก็ไปร้องเรียนกับผู้แทนประชาชน ถ้าไม่ดูแลสมัยหน้าไม่เลือก ผู้แทนก็กลัวต้องรีบแก้ แต่สมัยนี้ทำแบบนั้นไม่ได้ ไม่รู้จะไปร้องทุกข์ที่ไหน แล้วถ้าไปนายกฯจะอารมณ์ดีหรือไม่ก็ไม่รู้ ดังนั้น ผู้ที่จะไปออกกฎหมายต้องมาจากตัวแทนประชาชน เลือกตั้งครั้งนี้จะไม่กาคะแนนให้เผด็จการ แต่จะเลือกฝั่งประชาธิปไตย รัฐบาลชุดนี้พอใกล้เลือกตั้งก็ประกาศจะแก้ปัญหาโน่นนี่

ทั้งนี้ ขอตั้งคำถามว่า แล้ว 4-5 ปีที่ผ่านมา ทำไมไม่แก้ปัญหา และการสร้างรากฐานประชาธิปไตย ก็ไม่ได้สร้างมาจากรอยล้อรถถัง  ที่ผ่านมานักการเมืองหลายคนร่วมฝ่าฟันมาพร้อมกัน แต่ก็ย้ายไปอยู่กับฝ่ายเผด็จการ หลายคนก็ยังยืนยันที่จะสู้ด้วยกันต่อไป และถือเป็นการวัดใจนักการเมืองและวัดใจประชาชน ถ้าหากการเลือกตั้งครั้งนี้ ฝ่ายประชาธิปไตยชนะการเลือกตั้ง ส.ว. ก็จะต้องฟังเสียงของประชาชน

บรรยากาศปราศรัย

ด้าน น.พ.เหวง กล่าวว่า 4-5 ปีที่ผ่านมา ผู้บริหารประเทศใช้เงินไปแล้ว 16 ล้านล้านบาท แต่ยิ่งใช้เงินไป คนยิ่งจนลง จากการสำรวจปี 2558 ประเทศไทยมีช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนเป็นอันดับ 3 ของโลก ปีล่าสุดกลายเป็นเหลื่อมล้ำที่สุดในโลก และหากปล่อยให้บริหารประเทศต่อไป ก็จะยิ่งดำดิ่งลงเหว เพราะ 5 ปีที่ผ่านมา เป็นบทพิสูจน์แล้วว่าเผด็จการทำลายบ้านเมืองอย่างย่อยยับ เพราะฉะนั้นอย่าไปเลือกพรรคเผด็จการ ให้เลือกพรรคประชาธิปไตย

เนื่องจากที่ผ่านมาพรรคฝ่ายประชาธิปไตยทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี เช่น หากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้บริหารประเทศต่อในปี 2557-2558 รายรับจะพอดีกับรายจ่าย ขณะที่สมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ทำให้รายรับสูงกว่ารายจ่าย ตรงกันข้ามทหารบริหารประเทศ สร้างหนี้กว่า 7 ล้านล้านบาท สุดท้ายถามว่าอยากให้ประเทศเป็นเผด็จการหรือประชาธิปไตย

นพ.เหวง กล่าวต่อว่า อีกทั้งการท่องเที่ยวถ้ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จะสามารถทำให้รายได้เพิ่มขึ้นเป็น 4 ล้านล้านบาท แต่รัฐบาลทหารทำได้แค่ 3 ล้านล้านบาท แถมรองนายกรัฐมนตรียังทำให้ประเทศสูญเสียนักท่องเที่ยวชาวจีนหายไปจำนวนมาก การส่งออกทุกวันนี้ (13มี.ค.) ค่าเงินบาทแข็งตัว ทำให้ไม่สามารถส่งออกสินค้าไปสู่ต่างประเทศได้ การส่งออกติดลบ 5.7% สูญเงินส่งออกกว่า 4 แสนล้านบาท ดังนั้น หากได้รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งก็จะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้

นายประภัสร์ กล่าวว่า ทุกวันนี้เราเห็นความพยายามที่รัฐบาลพยายามจะดึงเอาฝ่ายต่างๆ มา แล้วอ้างว่าเป็นประชาธิปไตย แต่สุดท้ายก็เป็นเผด็จการเหมือนเดิม ที่ผ่านมาใช้เงินงบประมาณมหาศาลไปอุดหนุนกลุ่มทุน คำว่า “ประชารัฐ” ประชาก็ คือกลุ่มทุนอย่างเดียว เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประชาชนซื้อของอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากสินค้าในกลุ่มนายทุนอย่างเดียว ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่จะต้องเปลี่ยนให้การแสดงความคิดเห็นทำได้โดยไม่ถูกจับไปปรับทัศนคติ

พิชัย นริพทะพันธุ์

นายประภัสร์ กล่าวต่อว่า หรือแม้โครงการรถไฟเชื่อมต่อสนามบินสุวรรณภูมิ อู่ตะเภา และดอนเมือง ทั้งที่เป็นรถไฟความเร็วสูง แต่กลับสร้างจุดจอดจำนวน 7 จุดและเชื่อมต่อโครงการ EEC ที่ได้สิทธิประโยชน์จากรัฐมหาศาล เอาที่ดินภาคตะวันออกให้กับกลุ่มทุน ดังนั้น จึงจะเห็นว่าเป็นโครงการที่ใช้เงินจากภาษีประชาชน ไปให้สิทธิประโยชน์กับกลุ่มทุน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ รัฐบาลต้องถูกตรวจสอบและต้องมาชี้แจง

อย่างไรก็ตาม จะทำแบบนั้นได้ก็ต่อเมื่อได้รัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่รัฐบาลที่ดูเหมือนจะเป็นประชาธิปไตย แต่ไม่ใช่เพราะเบื้องหลัง คือ ส.ว. 250 เสียง ที่รอเลือกนายกฯ และการจัดการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรที่เละเทะ ดังนั้นประชาชนต้องช่วยกันตรวจสอบการนับคะแนน โดยเฉพาะการเลือกตั้งล่วงหน้าให้โปร่งใสยุติธรรม

นายพิชัย กล่าวด้วยว่า หลังจากรัฐประหาร การลงทุนจากแสนล้านวูบลงเหลือไม่กี่หมื่นล้านบาท ซึ่งทหารพยายามเชิญตัวไปให้คำปรึกษาในเรื่องเศรษฐกิจหลายครั้ง แต่ก็ยืนยันไปหลายครั้งว่าการปกครองแบบเผด็จการที่กดขี่ประชาชนจะทำให้คนไม่กล้าลงทุน และเศรษฐกิจก็จะแย่ตามมา แต่ไม่รับฟังเพื่อไปปฏิบัติตาม การบริหารเศรษฐกิจในประเทศ

ทั้งนี้ เหมือนกับทฤษฎีกบต้ม ที่เอากบใส่หม้อ ค่อยๆ เพิ่มความร้อนจนสุดท้ายกบตาย คล้ายกับการทำให้เศรษฐกิจค่อยๆ แย่ไปเรื่อยๆ 5 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจเสียหายไป 10 ล้านล้านบาท และ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ต่อไปเศรษฐกิจไม่มีทางดี แม้จะเปลี่ยนลุคเป็นหวานแหววก็ตาม

นอกจากนี้ ยังมีการคอร์รัปชั่นใช้พรรคพวก และสุดท้ายคือการใช้อำนาจ

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight