Economics

เห็นอนาคต!! ลงทุนอาร์แอนด์ดี แตะ 1 % จีดีพี เม็ดเงินกว่า 1.5 แสนล้านบาท

ผลสำรวจพบ ภาคเอกชนลงทุนอาร์แอนด์ดีแตะ 1 % จีดีพีแล้ว คิดเป็นเม็ดเงินกว่า 155,000 ล้านบาท 3 อุตสาหกรรม “ยานยนต์-อาหาร- ปิโตรเลียม” ทุ่มเม็ดเงินสูงสุด สวทน. ระบุ ความต้องการบุคลากรใน 5 อุตสาหกรรมแห่งอนาคต พุ่งสูง 107,045 ตำแหน่ง เชื่อกระทรวงใหม่ตอบโจทย์ทุกมิติ ทั้งป้อนกำลังคน และดันลงทุนด้านนี้ทะยานสู่ 1.5 % ภายในปี 2564  และ 2 % ในปี 2569  หวังภายใน 5 ปีข้างหน้าไทยก้าวสู่ประเทศรายได้สูง 

IMG 0305
ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์

ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) อธิบายสถานการณ์ ว่าการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (อาร์แอนด์ดี) จากการสำรวจรอบปีสำรวจ 2561 ซึ่งใช้ข้อมูลจากปี 2560 ว่า อยู่ที่ระดับ 155,143 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36 % จากรอบสำรวจปีก่อนหน้า โดยหากเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) คิดเป็นสัดส่วน 1 %  ของจีดีพี  ถือเป็นตัวเลขลงทุนที่มาเร็วกว่าเป้าหมาย 1 ปี

ตัวเลขการลงทุนดังกล่าว แบ่งเป็นการลงทุนของภาคเอกชน 123,942 ล้านบาท และการลงทุนของภาครัฐ 31,201 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนโดยประมาณ 80 ต่อ 20 ตามลำดับ

หากแยกเฉพาะการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชน พบว่า มีการลงทุนเพิ่มขึ้นถึง 50 % ซึ่งคิดเป็น 0.80 ต่อจีดีพีเพิ่มจากรอบสำรวจปีก่อนหน้า ที่ภาคเอกชนมีการลงทุน 82,701 ล้านบาท หรือ 0.57 % ต่อจีดีพี

สอดคล้องกับตัวเลขจำนวนบุคลากรด้านการวิจัย และพัฒนาของประเทศ (เอฟทีอี) ที่เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 21.0 ต่อ ประชากร 10,000 คน และคาดว่าหากรัฐ และเอกชนยังมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการเกิดขึ้นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ซึ่งกฎหมายรองรับเตรียมประกาศใช้ในเร็วนี้ ที่จะมาผลักดันแผนปฏิรูปการวิจัยและพัฒนาของประเทศ และช่วยวางแผนการพัฒนาคนมารองรับอย่างเป็นระบบ ทำให้เป้าหมายบรรลุผล หรือ มีค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาเพิ่มเป็น1.5 ต่อจีดีพี และเอฟทีอีเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 25.0 ต่อประชากร 10,000 คน ภายในสิ้นปี 2564

การปฏิรูป 3 เรื่องสำคัญ 

  1. การปฏิรูปการบริหารราชการ เพื่อบูรณาการการทำงานด้านวิจัย และการสร้างบุคลากรให้เป็นไปอย่างคล่องตัว
  2. การปฏิรูปกฎระเบียบ เพื่อผลักดันให้ผลงานวิจัยและนวัตกรรมสามารถสร้างประโยชน์ต่อ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และชุมชน และ
  3. ปฏิรูประบบงบประมาณ ด้วยการปรับรูปแบบ และวิธีการทางงบประมาณ ให้เกิดประสิทธิภาพ และประสิทธิผลสูงสุด

การลงทุน RD เอกชนปี 60 2 01 1

ปัจจัยจากการตื่นตัวเพิ่มขีดความสามารถ

สำหรับปัจจัยที่ทำให้การลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาในรอบปีสำรวจ 2561 เพิ่มขึ้น มาจากการตื่นตัวในอาร์แอนด์ดีที่เพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการเอง ประกอบกับรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นให้เอกชนมีการลงทุนด้านอาร์แอนด์ดีเพิ่มมากขึ้น ผ่านนโยบายต่าง ๆ

ตัวอย่างเช่น การให้ทุนสนับสนุนสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และสตาร์ทอัพ ในการดำเนินธุรกิจนวัตกรรม นโยบายส่งเสริมการลงทุนทั่วไป โดยให้สิทธิประโยชน์ตามประเภทกิจการ (Product-based Incentives) และสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมตามคุณค่าโครงการ ตลอดจนมาตรการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการขยายเขตเศรษฐกิจนวัตกรรม Economic Zone of Innovation เช่น เมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) การขยายจำนวนนิคมวิจัย (อุทยานวิทยาศาสตร์) ใน 3 ภูมิภาค เป็นต้น

อุตสาหกรรมยานยนต์ R&D สูงสุด

การลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาในอุตสาหกรรมการผลิตสูงสุด 3 อันดับแรก คือ

  1. อุตสาหกรรมยานยนต์  ลงทุน 18,855 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนด้านพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและสร้างสนามทดสอบรถยนต์
  2. อุตสาหกรรมอาหาร      ลงทุน 16,203 ล้านบาท ในการวิจัยและพัฒนากระบวนการผลิตเป็นระบบอัตโนมัติ วิจัยนวัตกรรมในการผลิตบรรจุภัณฑ์ และการใช้งานของผู้บริโภค รวมถึงตั้งศูนย์นวัตกรรมการวิจัยและพัฒนา
  3. อุตสาหกรรมปิโตรเลียม ลงทุน 11,721 ล้านบาท เป็นการลงทุนด้านการวิจัยเทคโนโลยีการผลิต และขนส่งปิโตรเลียม วิจัยพลังงานประยุกต์ และยานยนต์ รวมถึงเทคโนโลยีเชื้อเพลิงทางเลือก เป็นต้น

ตัวเลขดังกล่าว สอดคล้องกับการเปิดเผยตัวเลขการลงทุนของภาคเอกชนในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม  ที่ก่อนหน้านี้ได้ออกมาระบุถึงตัวเลขการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา อาทิ ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่ได้มีการปรับตัว เพื่อรองรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายยานยนต์แห่งอนาคต โดยเฉพาะการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสม (Hybrid Electric Vehicles – HEV)  ส่วนอุตสาหกรรมอาหารเน้นอาหารแปรรูป อาหารพร้อมปรุง และอาหารแปรรูปพร้อมทาน รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งในส่วนของสินค้าใหม่และบรรจุภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของตลาดและผู้บริโภคมากขึ้นด้วย

ยานยนต์ลงทุน RD สูงสุดปี 60 01

การเงิน-ประกันภัยครองแชมป์

ด้านผลสำรวจภาคบริการที่มีการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาสูงสุด คือ

  • บริการทางการเงินและประกันภัย  มีการลงทุน สูงถึง 6,007 ล้านบาท มาจากการวิจัยและพัฒนาปรับปรุงการบริการใหม่ การพัฒนา Fintech เพื่อนำมาใช้สนับสนุนงานบริการด้านการเงินให้ทันสมัยและตอบสนองความต้องการ
  • กลุ่มบริการด้านธุรกิจอื่น ๆ เช่น การบริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์และสอบเทียบมาตรฐาน ที่ลงทุนด้วยเม็ดเงิน 4,724 ล้านบาท สูงกว่าปีที่ผ่านมา ผ่านการจัดซื้อและพัฒนากระบวนการทดสอบ เพื่อทดสอบผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่เพิ่มมากขึ้น

ห้าง-ร้านสะดวกซื้อทุ่มวิจัยพัฒนา

สำหรับภาคค้าปลีกค้าส่งที่ลงทุนด้านวิจัย และพัฒนาสูงสุด คือ ห้าง ร้านสะดวกซื้อ และร้านของชำ  ลงทุน 10,192 ล้านบาท เนื่องจากผู้ประกอบการหันมาทำการวิจัย และพัฒนาภายในบริษัทตนเองมากขึ้น โดยเฉพาะระบบการตรวจสอบสินค้า และปรับปรุงกระบวนการผลิตใหม่

รองลงมา เป็นกลุ่มธุรกิจค้าส่ง ตัวแทนจำหน่าย ลงทุน 7,995 ล้านบาท จากการพัฒนากระบวนการผลิต ปรับปรุงห้องปฏิบัติการ จ้างบุคลากรด้านวิจัยเพิ่มขึ้น เป็นต้น

ในส่วนการทำนวัตกรรมของผู้ประกอบการในรอบปีสำรวจ 2561 พบว่า มีผู้ประกอบการทำนวัตกรรมประมาณ 76 % โดยลักษณะการทำนวัตกรรมของผู้ประกอบการไทยเปลี่ยนไป เน้นการทำนวัตกรรมที่มีความยาก  และซับซ้อนมากขึ้น คือ นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมกระบวนการ ซึ่งต้องอาศัยองค์ความรู้ เทคโนโลยี และการวิจัยพัฒนาที่เพิ่มขึ้น

สอดคล้องกับผลสำรวจกิจกรรม ที่ก่อให้เกิดนวัตกรรมภายในบริษัทที่พบว่า ผู้ประกอบการมีการวิจัยและพัฒนาภายในกิจการ หรือกลุ่มกิจการมากขึ้น มีการซื้อความรู้จากภายนอกเข้ามาพัฒนาต่อยอดเพิ่มขึ้น รวมถึงการเริ่มศึกษาความเป็นไปได้ของผลิตภัณฑ์ และการทดสอบก่อนนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด

ทั้งนี้ ยืนยันว่า ภาคเอกชนยังมีอุปสรรคในการดำเนินกิจกรรมนวัตกรรมและวิจัยและพัฒนา จากการขาดแคลนบุคลากรที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ขาดเงินทุนในการทำนวัตกรรมที่มีต้นทุนสูง ขาดข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยี และขาดข้อมูลเกี่ยวกับตลาด

การลงทุน RD เอกชนปี 601 01

ต้องการคนอีกแสนรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

นอกจากผลสำรวจข้อมูลการวิจัย และพัฒนา และกิจกรรมนวัตกรรมของภาคเอกชนแล้ว สวทน.  ยังสำรวจความต้องการบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาของกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Future S-Curve)ด้วย ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐบาลให้ความสำคัญ และสอดคล้องกับรูปแบบของอุตสาหกรรมที่กำลังจะเปลี่ยนผ่านจากโครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพาการผลิต (Manufacturing and Asset-Based Industry) สู่โครงสร้างเศรษฐกิจการผลิตสมัยใหม่ที่ใช้ความรู้การผลิตขั้นสูง เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการ (Knowledge-Based Industry)

ประกอบด้วย 5 กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก คือ

  • อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ
  • อุตสาหกรรมดิจิทัล
  • อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์
  • อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร
  • อุตสาหกรรมหุ่นยนต์เพื่อการอุตสาหกรรม

โดยเป็นการสำรวจความต้องการบุคลากรแต่ละอุตสาหกรรม  ในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือระหว่างปี 2562-2566  พบว่า ทั้ง 5 อุตสาหกรรมแห่งอนาคต ภาคเอกชนมีความต้องการบุคลากรที่มีทักษะขั้นสูงในอีก 5 ปีข้างหน้า รวมจำนวน 107,045 ตำแหน่ง แบ่งเป็น

  • อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ มีความต้องการอยู่ที่ประมาณ 29,735 ตำแหน่ง โดยเฉพาะตำแหน่งนักบินและช่างซ่อมบำรุงอากาศยานในด้านอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ ที่มีปัจจัยที่ส่งผลต่อการขยายตัวทั้งจากนโยบายของภาครัฐ ภูมิศาสตร์ด้านตำแหน่งที่ตั้ง รวมถึงการเติบโตขึ้นของการซื้อขายสินค้าผ่านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
  • อุตสาหกรรมดิจิทัล มีความต้องการอยู่ที่ประมาณ 34,505 ตำแหน่ง เช่น Data Scientist, Full-Stack Developer
  • อุตสาหกรรมหุ่นยนต์เพื่อการอุตสาหกรรม มีความต้องการอยู่ที่ประมาณ 12,816  ตำแหน่ง เช่น Data Scientist, Robotic Control Engineer, Mechanical Engineer อุตสาหกรรม
  • การแพทย์ครบวงจร มีความต้องการอยู่ที่ประมาณ 20,153 ตำแหน่ง เช่น Scientist Chemist, Scientist Biologist
  • อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ มีความต้องการบุคลากรในอนาคต อยู่ที่ประมาณ 9,836 ตำแหน่ง เช่น Biologist, Mechanical Engineer ตามลำดับ

IMG 0062

ดันลงทุนวิจัยพัฒนา 2% ปี 69 เท่าจีน

ดร.กิตติพงศ์ ยังระบุอีกว่า ในการก้าวไปสู่เป้าหมายการลงทุนอาร์แอนด์ดี ให้ได้ถึง 1.5 % ต่อจีดีพี  เพิ่มบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาเป็น 25.0 ต่อประชากร 10,000 คน ภายในสิ้นปี 2564 รวมถึงการสร้างบุคลากรป้อนให้ตรง และทันต่อความต้องการนั้น จะต้องประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่าง

ในส่วนของ สวทน. เอง จะเร่งเดินหน้าในการจัดทำมาตรการกระตุ้นการลงทุนวิจัย และนวัตกรรม และจัดทำแผนพัฒนาทักษะ ( Skill and Brainpower Planning)  การวางแผนด้านกำลังคน ทั้งในมิติทักษะและความรู้ควบคู่กันไป ซึ่งถือเป็นเรื่องใหม่ของประเทศที่ยังไม่เคยทำมาก่อน และจะช่วยตอบโจทย์ในการวางแผนทั้งด้านการลงทุน และการใช้กำลังคนของประเทศได้

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าภาครัฐถือเป็นตัวแปรสำคัญในการขับเคลื่อนตัวเลขการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาไปสู่เป้าหมาย การเข้ามาบริหารประเทศของรัฐบาลชุดต่อไป จึงต้องการเห็นการขับเคลื่อนนโยบายด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเร่งอัตราการเติบโตของการลงทุนวิจัยและพัฒนาให้ถึง 2% ของ GDP ภายใน 7 ปีข้างหน้า หรือราว 340,000 ล้านบาทต่อปีเทียบเท่าจีน  ภาครัฐควรมีสัดส่วนการลงทุน 30% หรือประมาณ 100,000 ล้านบาท ภาคเอกชน 70% หรือ 240,000 ล้านบาท

กระทรวงการอุดมศึกษาฯ ตอบโจทย์พัฒนาคน

อย่างไรก็ตาม ดร.กิติพงศ์ เห็นว่า การเกิดขึ้นของ “กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม”  ที่จะมีผลบังคับใช้ในเร็วๆ นี้ จะมาช่วยตอบโจทย์เรื่องดังกล่าวโดยตรง ซึ่งในการทำงานของกระทรวงฯ จะมีซูเปอร์บอร์ดที่เรียกว่า “สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ” ทำหน้าที่กำหนดนโยบายในการทำวิจัย ให้มีทิศทางยิ่งขึ้น และจะจัดสรรงบประมาณ (Budget Allocation) ให้สอดรับกับนโยบาย ผ่านกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

สำหรับงานในอนาคตของ สวทน. เพื่อรองรับการตั้งกระทรวงใหม่ จะเน้นการเสนอนโยบาย ยุทธศาสตร์และมาตรการต่าง ๆ เพื่อสร้างระบบนิเวศ (ecosystem) ให้เอื้อต่อการพัฒนาการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ตัวอย่างเช่น การจัดทำแผนที่นำทางการวิจัยขั้นแนวหน้า (Frontier Research) ของประเทศไทย ปี 2564 – 2574 และมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนงานวิจัยขั้นแนวหน้า การจัดทำนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Economy) เพื่อฉายภาพอนาคตการใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนระยะ 20 ปี ทำแผนที่นำทางพัฒนาเทคโนโลยีด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนระยะ 5 ปี และจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและมาตรการพัฒนา วทน. ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน

DBS DAX Innovation Lab Innovation Space

พร้อมกันนี้จะมีการจัดตั้ง Policy Accelerator & Future Lab เป็นกลไกในการออกแบบและทดสอบนโยบาย ระหว่างหน่วยงานในกระทรวงใหม่ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง การจัดทำข้อเสนอมาตรการสนับสนุนทุนสำหรับผู้ประกอบการขนาดเล็ก เพื่อพัฒนาผลงานวิจัยและนวัตกรรมตามโจทย์ความต้องการของภาครัฐ (SBIR/STTR) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการวิจัยและพัฒนาผลงานวิจัยและนวัตกรรมของภาคเอกชน

โดยใช้โจทย์ที่เป็นปัญหา หรือความต้องการของภาครัฐ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมผลงานวิจัย และนวัตกรรมของเอกชนให้มีตลาดรองรับ รวมถึงกำหนดเงื่อนไขให้เอกชนร่วมวิจัยกับหน่วยงานของรัฐ สถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัย เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดความรู้ระหว่างภาคส่วน

นอกจากนี้ สวทน. ยังมีแผนในการจัดทำนโยบายการพัฒนากำลังคนสำหรับอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของประเทศ (National Manpower Planning for Strategic Industries) ซึ่งถือเป็นเรื่องใหม่ของประเทศ โดย สวทน. จะจัดทำข้อเสนอแนะนโยบาย กลไก มาตรการ หรือแนวทางขยายผลระบบสารสนเทศ  เพื่อใช้ประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ด้านกำลังคน  และเมื่อเกิดการพัฒนาข้างต้นระบบนิเวศนวัตกรรมในระดับภูมิภาคจะมีความเข้มแข็ง ก่อให้เกิดการไหลเวียนแลกเปลี่ยนองค์ความรู้

กลไกกองทุนฯปรับการให้ทุนวิจัย

อีกงานสำคัญในอนาคต คือ การออกแบบระบบ และการบริหารจัดการ “กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม”  เป็นกลไกจัดสรรงบประมาณในลักษณะเงินก้อน ( Block Grant ) และต่อเนื่อง (Multi – Year) โดยกองทุนนี้จะอยู่ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษาฯ

“ทั้งหมดนี้ ล้วนมีเป้าหมายในการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ ตลอดจนการพัฒนาสังคม และคนไทย ทำให้ประเทศหลุดพ้นจากประเทศรายได้ปานกลาง สู่ประเทศที่มีรายได้สูง และก้าวสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วในที่สุด

 

Avatar photo