หลังจากที่มลพิษทางอากาศของไทยส่งผลรุนแรงกระทบต่อชีวิตผู้คน ทำให้สินค้าที่ตอบโจทย์ความ “กลัว” ได้รับอานิสงส์ไปด้วย ทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าของ “ชาร์ป” ที่ใช้เทคโนโลยี “Plasmacluster” มียอดขายถล่มทลาย โดยเฉพาะเครื่องฟอกอากาศขายได้แล้วถึง 80 ล้านเครื่องทั่วโลก (จาก ตุลาคม 2543 – ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ) และกำลังเพิ่มขึ้น เฉพาะยอดขายในไทย ปัจจุบันเดือนละ 20,000 เครื่อง และตอนนี้ขาดตลาด
จุดขายของเทคโนโลยี “Plasmacluster” นอกจากคุณสมบัติพื้นๆ อย่างการกำจัดฝุ่นละอองขนาดเล็กแล้ว คุณสมบัติที่มากขึ้นไปอีก ก็คือการฆ่าเชื้อโรค
นายโรเบิร์ต อู กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาร์ป ไทย จำกัด เล่าว่า ข้อมูลของกรมการอนามัยโลก (WHO) ที่เผยแพร่เมื่อ 2 พฤษภาคม 2562 พบว่ามลพิษทางอากาศ เป็นปัญหาร้ายแรงที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชีย มากกว่า 90% ของคนทั่วโลกต้องหายใจในอากาศที่มีมลพิษระดับสูง
โดยแต่ละปีมีกว่า 7 ล้านคนเสียชีวิต เนื่องจากมลพิษทางอากาศ และปี 2561 ที่ผ่านมา คนในกรุงเทพต้องเผชิญหน้ากับอากาศที่มีมลพิษสูงถึง 170 วันใน 1 ปี และมีดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) สูงถึงระดับ 154 ทำให้โรงเรียน และธุรกิจหลายแห่งต้องปิดทำการชั่วคราว ผู้คนจำนวนมากต้องเผชิญหน้ากับความผิดปกติในการดำเนินชีวิต และระบบเศรษฐกิจได้รับความเสียหายรุนแรง “เครื่องฟอกอากาศ” ของชาร์ปจึงตอบโจทย์ ทำให้มียอดขายมากมายในปัจจุบัน
นอกจากนี้ เราจะนำเทคโนโลยี Plasmacluster ไปใช้ในเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ จากปัจจุบันที่ใช้ในเครื่องฟอกอากาศ และเครื่องปรับอากาศเท่านั้น ต่อไปจะนำไปใช้ตู้เย็น ซึ่งจะช่วยกำจัดเชื้อโรค และกลิ่น รวมถึงในเครื่องซักผ้า และเครื่องดูดฝุ่นด้วย
Plasmacluster ถือเป็นเทคโนโลยีฟอกอากาศที่เป็นลิขสิทธิ์ของชาร์ปแต่เพียงผู้เดียว ที่ยังไม่มีใครเลียนแบบได้ สามารถปล่อยอนุภาคไฟฟ้าประจุบวก และลบแบบเดียวกันกับที่มีในธรรมชาติ โดยอนุภาคเหล่านี้จะเข้าไปทำลายผนังเซลล์ของเชื้อรา เชื้อไวรัส และแบคทีเรีย สลายสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่น ซึ่งปะปนในอากาศ ยังยั้งการเพิ่มขึ้นของสารก่อภูมิแพ้ ฝุ่นละอองส่วนใหญ่ที่หมุนเวียนในอากาศ และยากที่จะตกลงบนพื้น
รวมถึงหมอกควันไฟ กลิ่นอับชื้น มีระบบหมุนเวียนในอากาศช่วยกำจัดฝุ่นละอองได้อย่างรวดเร็ว และแผ่นกรอง HEPA คุณภาพสูงที่กำจัดฝุ่นละอองขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าได้ 99.97% ผ่านการทดสอบโดย Japan Synthetic Textile Inspection Institute Foundation และสถาบันวิจัยนานาชาติ 30 แห่ง รวมถึงสถาบันการแพทย์ในประเทศไทย 2 แห่ง
ล่าสุดเทคโนโลยี Plasmacluster กำลังถูกนำไปติดตั้งในสถานีรถไฟฟ้า MRT ขณะเดียวกันเราได้มอบเครื่องฟอกอากาศให้กับโรงพยาบาล 4 แห่ง ประกอบด้วยโรงพยาบาลศิริราช พระมงกฏเกล้า ธรรมศาสตร์ ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยมหิดล
สำหรับอนาคตของ “ชาร์ป” นายโรเบิร์ต ระบุว่า จะไม่ได้ผลิตแต่ผลิตภัณฑ์เป็นชิ้นๆให้ผู้บริโภคใช้แล้วจบไปเท่านั้น แต่จะเป็น “ผู้พัฒนาโซลูชั่น” เป็น Smart Solution อาทิ Smart Home ที่เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกอย่างผ่านการสั่งงานจากโทรศัพท์ เป็นต้น
หรือ Smart Office Smart Education เช่น จอภาพใหญ่คล้ายไอแพดใช้ในการพรีเซนต์งานต่างๆ ทำหน้าที่คล้ายกระดานดำ หรือ ไวท์บอร์ด แต่ทำงานเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ เช่น ปริ้นเตอร์ เป็นต้น โดยสัดส่วนในอนาคตชาร์ปจะผันจาก“ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า” ภาพลักษณ์ติดตาคนทั่วโลก เป็นผลิตโซลูชั่น โดยสัดส่วนจะไปถึง 50/50 ในอนาคต
โดยวันนี้ ( 8 มีนาคม) ชาร์ปได้เปิด Smart Store เป็นศูนย์โชว์นวัตกรรมของบริษัทในประเทศไทย โดยมีหลายผลิตภัณฑ์ที่นำต้นแบบมาออกโชว์แล้วเตรียมออกจำหน่ายในไทยเร็วๆนี้ ทั้งหุ่นยนต์ตัวน้อยเป็นทั้งโทรศัพท์ และเพื่อนเล่นพูดคุยกับเด็กๆยามว่าง และจอภาพทีวีรุ่น 8K ที่ช่วยให้ภาพละเอียด และคมชัดมากขึ้น ซึ่งกำลังถูกนำไปใช้ทางการแพทย์ด้วย เพื่อให้การเอกซเรย์ร่างกายมนุษย์เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น รวมถึงโทรศัพท์มือถือราคาไม่ถึงสองหมื่นการันตีน้ำหนักเบาที่สุด 147 กรัมในบรรดาโทรศัพท์ทั้งหมด และกล้องที่โฟกัสถึงแก่นราวกล้องราคาแพงที่จะนำมาจำหน่ายในไทยปลายปีนี้
นายศุภชัย สุทธิพงษ์ชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาร์ป กรุงไทยการไฟฟ้า ย้ำว่าตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในปีนี้ของไทยที่ยังไปได้ดีที่สุดก็ยังเป็นเครื่องฟอกอากาศจากปัญหาฝุ่นละอองในประเทศไทย คาดว่าจะเติบโตราว 10% ในส่วนของชาร์ป ที่มีเทคโนโลยี Plasmacluster คาดว่าจะเติบโตราว 20-30% ส่วนภาพรวมของเครื่องใช้ไฟฟ้าน่าจะเติบโตต่ำเพียง 3-4% เพราะปีนี้คาดว่าจะมีภัยแล้งหนัก ทำให้การทำเกษตรได้ผลผลิตไม่ดีนัก และราคาตกต่ำ ซึ่งเป็นตลาดของเครื่องใช้ไฟฟ้าหลัก อย่างไรก็ตามสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว ทำให้เครื่องปรับอากาศและพัดลมยังคงเติบโตได้ต่อไป
