นายกรัฐมนตรีจีนเตือน ประเทศกำลังเผชิญกับ “การดิ้นรนอันยากลำบาก” พร้อมเผยมาตรการลดภาษี และนโยบายต่างๆ จำนวนหนึ่ง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่คาดว่าจะชะลอการเติบโตมากขึ้นในปีนี้
นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อที่ประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (เอ็นพีซี)ประจำปีว่า รัฐบาลจีนตั้งเป้าการเติบโตในปีนี้ไว้ที่ราว 6.0-6.5% ลดลงจากระดับการเติบโตเมื่อปี 2561
การชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และสงครามการค้า กลายมาเป็นความท้าทายหลักสำหรับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำแดนมังกร ในเวลาเพียง 1 ปีหลังจากที่เอ็นพีซีหนุนสถานะของเขาให้กลายเป็นผู้นำประเทศที่ทรงอิทธิพลที่สุด นับตั้งแต่ยุค เหมา เจ๋อตุง ด้วยการยกเลิกการจำกัดวาระดำรงตำแหน่ง และใส่ชื่อเขาไว้ในรัฐธรรมนูญของประเทศ
“การที่จะเดินหน้าพัฒนาต่อไปในนี้ เราจะต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่มีความซับซ้อน และมืดหม่นมากขึ้น รวมถึงความเสี่ยง และความท้าทายต่างๆ ที่มีขนาดใหญ่ทั้งในเรื่องของปริมาณ และตัวเลข”
นายหลี่บอกว่า จีนต้องเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่เพื่อเตรียมรับกับการดิ้นรนอันยากลำบาก
เมื่อปีที่แล้ว รัฐบาลจีนตั้งเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ที่ 6.5% ซึ่งแม้เศรษฐกิจในปี 2561 จะขยายตัว 6.6% สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ แต่ก็ยังเป็นการขยายตัวที่ช้าสุดในรอบเกือบ 30 ปี ทั้งในปัจจุบันก็มีมณฑลต่างๆ มากถึง 3 ใน 4 ส่วน ที่ต่างลดเป้าหมายการเติบโตของตัวเองลงไปแล้ว
นายกรัฐมนตรีระบุว่า ในการที่จะรับมือกับการเติบโตที่ชะลอตัวลงนั้น เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายจีนจะดำเนนการปรับลดภาษี ลดค่าธรรมเนียมต่างๆ และลดขั้นตอนทางราชการให้มีความกระชับมากขึ้น
ตามแผนการที่วางไว้ จีนจะลดภาษีนิติบุคคล และอัตราเงินทีนายจ้างต้องจ่ายประกันสังคมแทนลูกจ้างลงมา คิดเป็นมูลค่าเกือบ 2 ล้านล้านหยวน
ขณะที่ภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับกลุ่มผู้ผลิต จะลดลงจากระดับ 16% มาอยู่ที่ 13% และลดลง 1% สำหรับอุตสาหกรรมก่อสร้าง และขนส่ง
นอกจากนี้ รัฐบาลจะเพิ่มการใช้จ่ายมากขึ้น โดยตั้งเป้าที่จะเพิ่มตัวเลขขาดดุลงบประมาณเป็น 2.8% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จากระดับ 2.6% เมื่อปีที่แล้ว
นายหลี่ ย้ำว่า จะมีการดำเนินนโยบายการคลังในเชิงรุก ส่วนนโยบายการเงินจะเป็นไปอย่างรอบคอบเหมือนเดิม ทั้งจะลดสัดส่วนทุนสำรองสำหรับธนาคารขนาดกลาง และเล็กลงมา เพื่อให้มีเงินทไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น
ส่วนการจัดการกับปัญหาที่ธุรกิจขนาดเล็กเผชิญอยู่นั้น รัฐบาลปักกิ่งจะขยับฐานยอดขายรายเดือนที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่เดือนละ 100,000 หยวน จากเดิมที่ 30,000 หยวน พร้อมสั่งให้ธนาคารรัฐขนาดใหญ่ปล่อยกู้ให้กับธุรกิจขนาดเล็กเพิ่มขึ้น 30% ในปีนี้
