ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ประกาศถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ปี 2558 ที่เขาระบุว่า เป็นข้อตกลงที่ “ผุพังและเน่าเปื่อย” ถือเป็นการแตกหักกับบรรดาพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับสหรัฐในยุโรป
ขณะที่เยอรมนี ฝรั่งเศส และอังกฤษ ออกแถลงการณ์ร่วมว่า จะยังคงร่วมมือกันในข้อตกลงฉบับนี้ ส่วนประธานาธิบดีฮัสซัน โรฮานี ของอิหร่าน บอกว่า จะมีการทำงานเพื่อยกระดับข้อตกลง
“เราจะไม่ยอมปล่อยให้ทรัมป์ชนะในสงครามจิตวิทยานี้” โรฮานี ประกาศ
ผู้นำกรุงเตหะราน บอกด้วยว่า บรรดาเจ้าหน้าที่ทางการทูตของอิหร่าน จะหารือกับชาติพันธมิตรที่เหลืออยู่ 5 ประเทศ ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ถึงการเดินหน้าข้อตกลงฉบับนี้ และว่า องค์กรด้านนิวเคลียร์ของอิหร่านพร้อมที่จะเริ่มการเสริมสมรรถภาพยูเรเนียมแบบไร้ขีดจำกัดอยู่ตลอดเวลา
ทรัมป์เรียกข้อตกลงฉบับนี้ว่าเป็น ข้อตกลงที่มีโครงสร้างผุพัง และเน่าเปื่อย ไม่มีความรัดกุมมากพอที่จะป้องกันไม่ให้อิหร่านพัฒนาระเบิดนิวเคลียร์ แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดถึงทางเลือกอื่นๆ ที่อาจเป็นไปได้สำหรับข้อตกลงนี้
เขาบอกด้วยว่า ข้อตกลงที่มีอยู่นี้ หมายความว่า ถ้าหากไม่มีการทำอะไรขึ้นมา อิหร่าน ประเทศที่เขาเรียกว่า เป็นชาติสนับสนุนก่อการร้ายแถวหน้าของโลก ก็จะเริ่มครอบครองอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงสุดในโลก
ทั้งนี้ ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านฉบับปัจจุบัน ที่ลงนามโดยอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามาของสหรัฐ ภายใต้การสนับสนุนของจีน รัสเซีย เยอรมนี ฝรั่งเศส และอังกฤษ ได้ผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน เพื่อแลกกับการให้รัฐบาลเตหะรานให้คำมั่นว่าจะยุติโครงการที่ชาติตะวันตกกังวลว่าจะเป็นการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
ทรัมป์ ระบุว่า แม้สหรัฐจะถอนตัวออกจากข้อตกลงนี้ แต่ก็จะเดินหน้าทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อหาทางออกที่จริง และครบถ้วน เพื่อแก้ปัญหาภัยคุกคามนิวเคลียร์ของอิหร่าน
ผิดหวังการตัดสินใจ
ทางด้านโอบามาโพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก ระบุว่า การตัดสินใจของทรัมป์ เป็น “ความผิดพลาดอย่างร้ายแรง”
“การเหยียดหยามข้อตกลงที่ประเทศของเราเป็นส่วนหนึ่งในนั้น เสี่ยงที่จะบั่นทอนความน่าเชื่อถือของอเมริกา และทำให้เราต้องแตกแยกกับบรรดามหาอำนาจของโลก”
ขณะที่เฟเดริกา โมเกรินี ประธานนโยบายต่างประเทศยุโรป ระบุว่า สหภาพยุโรป (อียู) ตัดสินใจที่จะรักษาข้อตกลงฉบับนี้ไว้ ส่วนกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย แถลงว่า กรุงมอสโกผิดหวังอย่างมากกับการตัดสินใจของผู้นำสหรัฐ
เช่นเดียวกับแอนโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาติ(ยูเอ็น) ที่บอกว่า รู้สึกกังวลอย่างมากกับการตัดสินใจของทรัมป์
อย่างไรก็ดี มีอยู่ 2 ประเทศที่ออกมาชื่นชมในท่าทีล่าสุดของผู้นำสหรัฐ คือ ซาอุดีอาระเบีย ศัตรูในภูมิภาคตะวันออกกลางของอิหร่าน และอิสราเอล ที่คัดค้านข้อตกลงฉบับนี้มาโดยตลอด เพราะเห็นว่า ไม่ได้มีเงื่อนไขที่เพียงพอที่จะคุมความสามารถของอิหร่านในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ หรือขีปนาวุธได้