เมื่อเร็วๆ นี้ ยักษ์ใหญ่ด้านมือถือสัญชาติเกาหลีใต้ “ซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์” เปิดตัวโฆษณาชุดใหม่ในย่านไทม์สแควร์ ของนิวยอร์ก สหรัฐ ก่อนหน้าที่จะเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ในสัปดาห์นี้
โฆษณาชุดดังกล่าวเป็นเรื่องราวของสมาร์ทโฟนแบบจอพับได้รุ่นใหม่ พร้อมแสดงให้เห็นถึงคำมั่นที่ผู้บริโภคจะได้พบกับความตื่นตาตื่นใจที่คุ้มค่า ซึ่งในวันนี้ (20 ก.พ.)ตามเวลาในสหรัฐ นอกจากจะเปิดตัวสมาร์ทโฟนแบบจอพับได้แล้ว ซัมซุงยังจะอวดโฉมสมาร์ทโฟนระบบ 5 จีรุ่นแรกของโลกด้วย
หลังจากเปิดตัวสมาร์ทโฟนตระกูลแกแล็กซี่รุ่นแรกเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ซัมซุงหวังว่า สมาร์ทโฟนนวัตกรรมใหม่ล่าสุดของบริษัท จะช่วยฟื้นยอดขายมือถือรุ่นเรือธง และช่วยสกัด “หัวเว่ย เทคโนโลยีส์” คู่แข่งสัญชาติจีน ไม่ให้แซงหน้าบริษัทขึ้นเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายใหญ่สุดของโลกได้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
การเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ดังกล่าว ยังเกิดขึ้นเพียง 4 วัน ก่อนหน้าที่หัวเว่ยจะเปิดตัวสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้ของบริษัท ในวันอาทิตย์นี้ (24 ก.พ.) ก่อนหน้าที่จะถึงงานโมบายล์ เวิลด์ คองเกรส ในบาร์เซโลนา ซึ่งเป็นงานนิทรรศการสำคัญของอุตสาหกรรมมือถือโลก และก่อนหน้าที่ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายอื่นๆ ไล่ตั้งแต่เสี่ยวหมี่ ไปจนถึงโมโตโรลา จะเปิดตัวสมาร์ทโฟนทั้งแบบพับได้ หรือ 5จี ตามมาเป็นระลอก
หัวเว่ยก็เหมือนกับซัมซุง ตรงที่วางเดิมพันไว้กับเทคโนโลยีสมาร์ทโฟนพับได้ เพื่อสร้างกระแสขึ้นในกลุ่มผู้บริโภค แต่แตกต่างกันตรงที่ว่า ฟังก์ชั่นพับได้ และระบบ 5จี ของหัวเว่ยรวมอยู่ในเครื่องเดียวกัน
กลยุทธ์ที่แตกต่างกันของ 2 ผู้เล่นรายใหญ่แห่งอุตสาหกรรมมือถือโลกนี้ สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมของแต่ละฝ่ายอย่างมาก
ซัมซุง เลือกที่จะไม่นำสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้ กับระบบ 5จี มารวมไว้ในเครื่องเดียวกัน เพื่อลดความเสี่ยง แต่นำเสนอระบบ 5จี ในแกแล็กซี่เอส 10 ส่วนสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้ ที่มีข่าวลือว่าจะชื่อรุ่นแกแล็กซี่ เอฟ จะทำงานด้วยระบบ 4จี
ในการแยกเทคโนโลยี 2 อย่างออกจากกันนี้ ซัมซุงเชื่อว่า จะทำให้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากระบบใดระบบหนึ่ง จะไม่ส่งผลกระทบต่ออีกระบบหนึ่ง ทั้งโดยภาพรวมแล้ว ความต้องการสมาร์ทโฟนพับได้ในตลาดก็ยังไม่เกิดขึ้น ขณะที่โครงสร้างพื้นฐาน 5จี ก็ยังไม่ผ่านการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพทั่วโลก
คิม ดอง วอน นักวิเคราะห์จากเคบี ซิเคียวริตี้ส์ เสริมว่า ซัมซุงอาจจะกังวลว่า การติดตั้งชิพ 5จี ที่มีราคาสูง ไว้กับสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้ อาจทำให้บริษัทมีกำไรลดลง
แต่หัวเว่ย ซึ่งเมื่อปีที่แล้วแซงหน้าแอปเปิลขึ้นเป็นค่ายผู้ผลิตมือถือรายใหญ่สุดอันดับ 2 ของโลกได้ในช่วงสั้นๆ นั้น ไม่ได้วิตกในเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด
หลังจากที่เจอสหรัฐโจมตีอย่างหนักต่อธุรกิจอุปกรณ์ 5จีของบริาทแล้ว ดูเหมือนว่า หัวเว่ยต้องการที่จะแสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยีขั้นสูงของบริษัท
มีอา หวง นักวิเคราะห์จากเทรนด์ฟอร์ซ บริษัทวิจัยในไต้หวัน ชี้ว่า วิธีการนี้จะเป็นการแสดงออกอย่างแข็งแกร่ง ถึงความสามารถด้านเทคโนโลยีก้าวหน้าของหัวเว่ยให้โลกได้รับรู้
“เราเชื่อว่า นี่ยังเป็นวิธีที่มีเป้าหมายอยู่ที่การทำตลาดอุปกรณ์มือถือที่นำเทคโลยีชั้นนำ 2 อย่างมารวมไว้ด้วยกัน ”
สำหรับในเรื่องคุณภาพนั้น นักวิเคราะห์วงในอุตสาหกรรมมองว่า ซัมซุงมีความได้เปรียบกว่าในเรื่องหน้าจอพับได้ เพราะบริษัทเกาหลีใต้รายนี้ ดำเนินการพัฒนา และผลิตหน้าจอโอแอลอีดีมาร่วม 10 ปีแล้ว ตรงข้ามกับหัวเว่ย ที่พึ่งพา “บีโออี เทคโนโลยี กรุ๊ป”ผู้ผลิตจอภาพพันธมิตรของบริษัทเป็นหลักในเรื่องจอภาพโอแอลอีดี ซึ่งนักวิเคราะห์ชี้ว่า ยังมีคุณภาพสู้ซัมซุงไม่ได้
แม้จะยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินในเรื่องต่างๆ แต่ผู้คนวงในอุตสาหกรรมต่างคาดการณ์ว่า สมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้ของซัมซุง จะใช้งานได้ดีกว่า และแสดงเนื้อหาด้านกว้างได้ดีกว่า
การเปิดตัวสมาร์ทโฟนเหล่านี้ ยังจะช่วยชดเชยกระแสนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ขาดหายไปจากอุตสาหกรรมมานานหลายปี โดยผู้คนวงในอุตสาหกรรมจำนวนมาก ต่างหวังว่า สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ดังกล่าว จะช่วยให้ยอดขายในตลาดโลกฟื้นตัวขึ้นมา หลังเมื่อปีที่แล้วร่วงไป 4.1% เนื่องจากผู้บริโภคไม่ให้ความสนใจกับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่มีราคาแพงแต่ไม่ค่อยมีอะไรใหม่ๆ มากนัก
กระนั้นก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่า เทคโนโลยีใหม่ทั้ง 2 ชนิดนี้ ไม่ว่าจะเป็น 5จี หรือหน้าจอพับได้ จะยังไม่ได้เป็นฟีเจอร์กระแสหลักของสมาร์ทโฟนในปีนี้
อุปสรรคอย่างแรกคือ แต่ละตลาดยังไม่ได้สร้างโครงสร้างพื้นฐาน 5 จี ขณะจอภาพโอแอลอีดีแบบยืดหยุ่น ซึ่งจำเป็นสำหรับเทคโนโลยีหน้าจอพับได้ ก็มีซัมซุงครองตลาดอยู่
หวง จากเทรนด์ฟอร์ซ ประเมินว่า ซัมซุงน่าจะผลิตสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้ และ5จีไม่เกิน 1 ล้านเครื่องในปีนี้ ซึ่งจะอยู่ในระดับเดียวกับการผลิตของหัวเว่ย
เรื่องราคาก็เป็นอุปสรรคสำคัญอีกอย่างหนึ่ง โดยนักวิเคราะห์คาดว่า สมาร์ทโฟนจอพับได้ของซัมซุง น่าจะอยู่ที่ราว 2,300 ดอลลาร์ และของหัวเว่ยก็จะราคาถูกกว่าไม่มากเท่าไร เมื่อพิจารณาจากกการผลิต และราคาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต
