นายกิจจา ศรีพัฑฒางกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทมีแผนใช้เงินลงทุนรวม 20,000 ล้านบาท เป็นโครงการที่จะต้องใช้เงินตามแผน 6,000 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการเซเปียนเซน้ำน้อย ลาว โครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟังเชงกังระยะที่ 2 กำลังผลิตรวม 2,360 เมกะวัตต์ ตั้งในเขตปกครองตนเองกวางสี ทางตอนใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีน โครงการน้ำประปาแสนดิน ในลาว และโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม Riau กำลังผลิต 275 เมกะวัตต์ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ในอินโดนีเซีย
เตรียม 20,000 ล้านซื้อกิจการ
บริษัทได้เตรียมเงินสำหรับการเข้าซื้อกิจการในปีนี้รวม 10,000-20,000 ล้านบาท ทัั้งเป็นโครงการโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลัก และพลังงานทดแทน ประเภทการลงทุนใหม่ ( Greenfield) หรือกิจการที่มีอยู่เดิม (Brownfield) หรือโครงการที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว มุ่งเน้นในต่างประเทศ ตั้งเป้าปีนี้เข้าซื้อกิจการให้ได้กำล้งผลิตเพิ่ม 350 เมกะวัตต์
ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจา 1-2 โครงการ จะได้ข้อสรุปในไตรมาส 2 ของปีนี้ ใช้เงินลงทุนเบื้องต้น 14,000 ล้านบาท หนึ่งในโครงการที่อยู่ระหว่างเจรจาเป็นโครงการขนาดใหญ่ในประเทศออสเตรเลีย และในอาเซียน
สำหรับการลงทุนในประเทศนั้น จะเดินหน้าลงทุนตามแผนพัฒนาพลังงานไฟฟ้าของประเทศไทย หรือ พีดีพี 2018 ซึ่งจะเปิดให้มีการประมูลโรงไฟฟ้าทดแทนโรงไฟฟ้าไตรเอ็นเนอร์จี้ จังหวัดราชบุรี ที่จะหมดอายุสัญญาในเดือนกรกฎาคม 2563 จำนวน 700 เมกะวัตต์ ซึ่งบริษัทมีความพร้อมที่จะเข้าร่วมการประมูลครั้งนี้อย่างแน่นอน กำลังผลิตรวม 700 เมกะวัตต์ เพราะมีความได้เปรียบในแง่ของต้นทุน และเป็นโรงไฟฟ้าที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของเราด้วย
“ขณะนี้บริษัทกำลังรอความชัดเจนจากกระทรวงพลังงาน ถึงแผนการลงทุนในโรงไฟฟ้าทดแทนโรงเก่าของไตรเอ็นเนอร์จี้ ซึ่งจะต้องให้ได้ข้อสรุปภายในปีนี้ เพื่อให้ทุกอย่างเดินหน้าได้ตามแผนและแล้วเสร็จในปี 2567-2568 ”
เตรียมพร้อมประมูลไอพีพีทั่วประเทศ
บริษัทยังสนใจที่จะเข้าร่วมประมูลโครงการโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (ไอพีพี) ในพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศด้วย ซึ่งตามแผนจะเปิดประมูลกว่า 8,300 เมกะวัตต์ รวมถึงโรงไฟฟ้าใหม่ที่จะต้องเกิดขึ้น เพื่อเสริมความต้องการโรงไฟฟ้าภาคใต้อีก 700 เมกกะวัตต์ที่จังหวัดราชบุรี เนื่องจากโรงไฟฟ้ากระบี่ และเทพา ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ตามแผน จะต้องดึงโรงไฟฟ้าฝั่งตะวันตกไปช่วยรองรับในภาคใต้ ซึ่งความต้องการใช้ไฟฟ้าเติบโตสูงสุดถึง 4-5% จากการเติบโตเฉลี่ยทั่วประเทศ 3%
สำหรับพีดีพี ที่นำนิวเคลียร์ออกจากแผนนั้น เพราะกระแสต่อต้าน แต่ก็ต้องติดตามเทคโนโลยีของนิวเคลียร์ไว้ เพราะปัจจุบันมีการพัฒนาเทคโนโลยีใช้ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่น ไม่ต้องใช้ยูเรเนียมเป็นเชือเพลิง ขณะนี้อยู่ในขั้นทดลอง และราคายังสูง คาดว่าจะต้องใช้เวลาพัฒนาประมาณ 10 ปี
นายกิจจา กล่าวว่า นอกจากนี้บริษัทฯยังสนใจที่จะเข้าไปร่วมลงทุนโซลาร์ลอยน้ำในเขื่อนต่างๆ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่มีแผนจะพัฒนารวม 2,700 เมกะวัตต์ รวมถึงการร่วมลงทุน Battery Energy Storage กับกฟผ.อีกด้วย ที่จะนำร่องที่สถานีไฟฟ้าแรงสูง ชัยบาดาล และบำเหน็จณรงค์
สำหรับความคืบหน้าโครงการก่อสร้างเซเปียนเซน้ำน้อยนั้น ยอมรับว่างานก่อสร้างเลื่อนไป เพราะกรณีเขื่อนเกิดปัญหา แต่คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปีนี้
ปัจจุบัน งานก่อสร้างโรงไฟฟ้า และติดตั้งกังหันพลังน้ำ และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า 4 ชุด ก้าวหน้าแล้ว 94% ส่วนแผนฟื้นฟูทางเทคนิค ชุมชน และสิ่งแวดล้อม อยู่ระหว่างการพิจารณาของทางการลาว สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้น บริษัทได้ทำประกันภัยความเสียหายไว้ทั้งหมดแล้ว วงเงินรวม 910 ล้านดอลลาร์
สนใจลงทุนโครงการเมกะโปรเจค
ขณะเดียวกันบริษัทยังมีความพร้อมที่จะเข้าร่วมลงทุนพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (สุวรรณภูมิ-ดอนเมือง-อู่ตะเภา) แต่ต้องรอให้มีการเจรจากับกลุ่มซีพีก่อน ซึ่งจะรู้ผลในวันที่ 22 กุมภาพันธ์นี้ โดยบริษัทเป็นหนึ่งในพันธมิตรร่วมทุนของกลุ่ม BSR รวมถึงสนใจลงทุนพัฒนาโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออกด้วย รวมถึงลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม โดยจะมุ่งเน้นการจับมือกับพันธมิตรที่เชี่ยวชาญ
สำหรับผลประกอบการปี 2561 บริษัทยังคงสามารถรักษากำไรได้อย่างน่าพอใจ โดยรายได้ส่วนแบ่งกำไรของกิจการร่วมค้า เพิ่มขึ้น 31.7 % ผลการดำเนินงานปี 2561 บริษัทฯ รับรู้กำไรก่อนผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 6,452.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.5% รายได้รวม 45,083.54 ล้านบาท ซึ่งโครงสร้างรายได้ของบริษัทมาจาก 3 แหล่งที่สำคัญ คือ รายได้จากการขายและบริการและรายได้ตามสัญญาเช่าการเงิน 62.4% ส่วนแบ่งจากกิจการที่ควบคุมร่วมกันและเงินปันผล 33.3% และรายได้จากดอกเบี้ยและอื่นๆ 4.3% ในปี 2561 รายได้ส่วนแบ่งกำไรจากกิจการร่วมทุนที่มาจากโรงไฟฟ้าหงสาเพิ่มขึ้น
ฐานะการเงินของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 มีสินทรัพย์รวมจำนวน 101,251.90 ล้านบาท หนี้สินจำนวน 41,315.88 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 59,936.02 ล้านบาท เงินสดและเงินลงทุน รวมจำนวน 13,924.34 ล้านบาท และกำไรสะสมจำนวน 49,952.77 ล้านบาท
ในปีนี้ บริษัทจะมีโรงไฟฟ้งเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ 3 โรง ประกอบด้วย
- โรงไฟฟ้าเบิกไพรโคเจนเนอเรชั่น กำลังผลิตติดตั้ง 99.23 เมกะวัตต์ ซึ่ง บริษัทถือหุ้น 35%
- โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Collinsville ในออสเตรเลีย กำลังผลิตติดตั้ง 42.5 เมกะวัตต์ ซึ่งบริษัทถือหุ้น 100%
- โครงการเซเปียน เซน้ำน้อย กำลังผลิตติดตั้ง 102.5 เมกะวัตต์ ในลาว ซึ่งจะช่วยเสริมให้รายได้ และกระแสเงินสดของบริษัทมั่นคงยิ่งขึ้น
ส่วนความก้าวหน้าในการร่วมลงทุนปีที่ผ่านมานั้น บริษัทประสบความสำเร็จในการร่วมลงทุน โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำอาซาฮาน-1 ขนาด 180 เมกะวัตต์ สัดส่วนถือหุ้น 26.61% ในอินโดนีเซีย โครงการผลิตไฟฟ้านวนครส่วนขยาย 60 เมกะวัตต์และไอน้ำ 10 ตันต่อชั่วโมง สัดส่วนถือหุ้น 40%
โครงการติดตั้งระบบ Black Start โรงไฟฟ้าเคเมอร์ตัน 7.20 เมกะวัตต์ สัดส่วนถือหุ้น 100% ในออสเตรเลีย และการลงทุนโครงการน้ำประปาแสนดิน ในสปป.ลาว กำลังผลิต 48,000 ลูกบาศก์เมตรต่อ วัน จนถึงปัจจุบัน บริษัทฯ มีกำลังผลิตติดตั้งตามการลงทุนรวม 7,639.12 เมกะวัตต์หรือเทียบเท่า