EA เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ “เรือโดยสารไฟฟ้า” ตั้งเป้าผลิต 54 ลำ วงเงินลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท เตรียมวิ่งรับผู้โดยสารสิ้นปีนี้ เส้นทางท่าน้ำนนท์-วัดราชสิงขร คาดได้รับการตอบรับ ชูรูปโฉมโมเดิร์น ติดแอร์ เงียบ ไม่โคลงเคลง และช่วยลดมลพิษ ที่สำคัญค่าโดยสารใกล้เคียงเรือด่วนเจ้าพระยา
เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน)’ หรือ EA เปิดตัว “เรือโดยสารไฟฟ้าล่องเจ้าพระยา” อย่างยิ่งใหญ่ โดยมีผู้เข้าร่วมงานครั้งนี้คับคั้ง โดยระบุว่าได้เตรียมซุ่มทุ่มงบกว่า 1,000 ล้านบาท ผลิตเรือ 54 ลำ ออกให้บริการผู้โดยสารในปลายปีนี้
นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ บอกว่า เราคิดโครงการผลิตเรือไฟฟ้า เพื่อให้เป็นเรือไร้มลพิษ เดินเครื่องด้วยไฟฟ้าแทนดีเซล ซึ่งนอกจากลดปัญหามลพิษแล้ว ยังช่วยลดค่าฝุ่นละอองอีกด้วย ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดคลื่นน้อย เป็นเรือที่มีรูปโฉมทันสมัย ปลอดภัย เงียบ โคลงเคลงน้อย และเป็นเรือติดแอร์ ที่สำคัญจะทำให้ราคาโดยสารอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่สูงไปกว่าที่ผู้โดยสารทางเรือที่จ่ายอยู๋ในปัจจุบันนี้ จึงคาดว่าจะได้รับการตอบรับอย่างดี
ล็อตแรก 20 ลำ โดยจะทยอยออกมาให้บริการในปลายปีนี้ และครบทั้ง 54 ลำได้ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2563 วิ่งเส้นทางท่าน้ำนนท์- วัดราชสิงขร ระยะทาง 20 กม. ด้วยเวลาประมาณ 40 นาที โดยจะมีสถานีชาร์จไฟฟ้าตั้งตามจุด คาดว่าจะมีผู้โดยสารวันละไม่ต่ำกว่า 30,000 คนมาใช้บริการอย่างแน่นอน
โดยโครงการนี้ก่อนที่จะเดินหน้าโครงการ ได้หารือกับกรมเจ้าท่า ซึ่งทางกรมก็เห็นด้วย เพราะเป็นโครงการที่สอดรับกับนโยบายของกรมเจ้าท่าที่ต้องการเห็นเรื่อโดยสารที่ช่วยลดมลภาวะให้กับกรุงเทพ
“เรือโดยสารไฟฟ้าของเรา เป็นเรือที่ผลิตโดยคนไทย จากฐานที่เราเป็นบริษัทพลังงานทางเลือกอยู่แล้ว และเป็นผู้นำแบตเตอรี่ลิเที่ยม ไอออน รายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ลงทุนสถานีชาร์จไฟฟ้าให้กับรถยนต์ไฟฟ้าด้วย เราจึงมีความพร้อมที่จะทำโครงการนี้”
นายอมร กล่าวต่อว่า เรือโดยสารไฟฟ้าถือเป็นเรือประหยัดต้นทุนด้านพลังงาน จากการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าที่ประจุอยู่ในแบตเตอรี่ขนาด 800 กิโลวัตต์ชั่วโมง ตัวเรือที่กว้างขวางขนาดกว้าง 7 เมตร ยาว 24 เมตร สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ 200 คน ออกแบบ และพัฒนาขึ้นโดยคนไทย และใช้เทคโนโลยีแบตเตอรี่ของกลุ่ม EA ที่อยู่ระหว่างเตรียมสร้างโรงงานแห่งใหม่ ณ จังหวัดฉะเชิงเทรา ร่วมกับชิ้นส่วนต่าง ๆ ซึ่งเป็นของไทยทั้งหมด
“การก้าวเข้าสู่ธุรกิจให้บริการเรือไฟฟ้านี้ เป็นการนำเทคโนโลยีแบตเตอรี่ มาเสริมการให้บริการคมนาคมทางน้ำ ต่อเนื่องหลังจากการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า “MINE ” ของบริษัท และยังสามารถนำไปใช้ขับเคลื่อนเครื่องยนต์ประเภทอื่นๆ ได้อีกหลากหลาย ข้อดีอย่างมากของการขับเคลื่อนยานพาหนะด้วยพลังงานไฟฟ้านี้ คือ จะไม่มีไอเสีย หรือเขม่าควัน และเสียงเบามาก จึงช่วยลดปัญหามลพิษโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหา PM 2.5 ที่เกิดขึ้นจะบรรเทาลงไปอย่างมาก”
เรือโดยสารจะมีการตั้งชื่ออีกครั้ง แต่นายอมร ย้ำว่า การเข้ามาทำธุรกิจเรือโดยสารไฟฟ้าของบริษัทจะกระตุ้นการโดยสารทางเรือพร้อมกับการท่องเที่ยวได้อย่างดี ขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของคนกรุงเทพฯ จะเข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ในการเดินทางที่เร็วกว่า โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วน ซึ่งมีแนวทางจะเพิ่มรอบความถี่ในการให้บริการเป็นทุกๆ 5 นาที สามารถเชื่อมโยงการเดินทางด้วยระบบคมนาคมขนส่งไฟฟ้าของกรุงเทพมหานครได้ครบวงจร ทำให้ประเทศไทย ก้าวเข้าสู่ระบบ “Smart Transport” อย่างแท้จริง
นอกจากเรือไฟฟ้าแล้ว โครงการนวัตกรรมด้านยานยนต์ไฟฟ้าของบริษัทยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยหลังจากเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า ยี่ห้อ “MINE Mobility” รถยนต์ไฟฟ้าของคนไทย 100% เมื่อปลายเดือนมีนาคม 2561 ก็จะเริ่มวางจำหน่ายในปีนี้ ตั้งเป้าผลิต 5,000 คันในปี 2563 ราคาจำหน่ายไม่ถึง 1 ล้านบาท
โดยก่อนหน้านี้บริษัทได้ขยายสถานีชาร์จไฟฟ้าตามจุดต่างๆอย่างต่อเนื่องรองรับยานยนต์ไฟฟ้าที่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น จนขณะนี้มีสถานีชาร์จไฟฟ้า 300 จุดแล้ว คาดว่าจะทำให้ได้ 1,000 จุดในปีนี้ ลงทุนจุดละ 2 ล้านบาท ขนาด 6 หัวจ่าย คู่กับเร่งลงทุนผลิตแบตเตอร์รี่เพื่อใช้ในยานยนต์ไฟฟ้า ที่มีแผนจะขยายกำลังผลิตจาก 1 กิกะวัตต์ (GWh) มูลค่าการลงทุน 5,000 ล้านบาท แล้วเสร็จในปีนี้ เพิ่มเป็น 50 กิกะวัตต์ มุูลค่าการลงทุนประมาณ 100,000 ล้านบาทในอนาคต
ทั้งนี้เพื่อรองรับการนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่จะออกมาอย่างต่อเนื่อง และใช้ในโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน อาทิ ลม และแสงอาทิตย์ ทั้งติดตั้งในโรงไฟฟ้าของบริษัทเองที่มีกำลังผลิตรวมกันแล้วถึง 660 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าของผุู้ประกอบการรายอื่น ๆเพราะแบตเตอร์รี่ถือเป็นคำตอบของการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ที่ช่วยรักษาความสม่ำเสมอในการเดินเครื่องของโรงไฟฟ้าประเภทนี้ ทำให้อนาคตของแบตเตอร์รี่จะเป็นที่ต้องการสูงอย่างต่อเนื่อง
